วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

ชีวิตจริงยิ่งกว่าในละคร



    ชีวิตจริงยิ่งกว่าในละคร หลายคนคงได้ยิ่งประโยคนี้มาแล้ว ถ้าผมจะบอกว่าชีวิตผมเองนี่ล่ะยิ่งกว่าละคร คุณจะเชื่อไหม จากที่ผมได้เล่าถึงความสำเร็จในชีวิตมาแล้ว ในตอนนั้นผมรุ่งเรืองและมีความสุขกับชีวิตมากๆ ทุกอย่างดูลงตัวไปหมด ความเป็นอยู่ของผมในช่วงนั้นเรียกได้ว่า พร้อมแล้วในทุกๆเรื่อง แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตที่มีความสุขกับครอบครัว
    แต่แล้วความสุขความรุ่งเรืองก็จบสิ้นลง เมื่อเกิดเศรษฐกิจแย่ในปี2540 ตอนนั้นเรียกได้ว่าเศรษฐกิจประเทศล้มอย่างสิ้นเชิง มีคนหลายพันหลายล้านคนคนที่ล้มไปด้วย ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งในตอนนั้นผมได้ออกจากที่ทำงานเดิม โดยการชักชวนจากพี่หนุ่ม(หัวหน้าผม)ออกมาทำที่ใหม่ด้วยกัน ที่ดูมีความก้าวหน้ามากกว่าเดิม รวมทั้งการลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อนด้วย พอเกิดวิกิตเศรษฐกิจก็ทำให้ที่ทำงานใหม่ก็ล้มและเลิกกิจการ ในส่วนของการลงทุนกับเพื่อนก็ล้มเป็นหนี้มากมาย มีการเครดิตของจากร้านค้าหลายร้านเพื่อทำธุกิจด้วย นั้นทำให้ผมเป็นหนี้อย่างมากในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
    ในตอนนั้นผมถูกฟ้องเรื่องหนี้สิ้น แถมตกงาน ทำให้เกิดปัญหาการเงินอย่างหนัก ผมจำเป็นต้องขายของที่เป็นของผมทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน แต่แม้จะขายทุกอย่างที่มีก็ยังไม่พอ จริงๆต้องบอกว่ายังไม่ได้1ใน3ที่เป็นหนี้ด้วยซ้ำ มีการฟ้องร้องกันหลายคดีซึ่งสุดท้ายก็ใช้การประนอมหนี้ ผมเป็นทั้งผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้อง ยังมีปัญหาครอบครัวที่เมื่อเริ่มเครียดและปัญหาการเงิน ก็เริ่มทะเลาะและใช้อารมณ์ใส่กันตอนนั้นผมมีลูกชายแล้วคนนึงชื่อฮาร์ท แม้ว่าเราจะมีลูกด้วยกันแต่สถานการณ์ตอนนั้นรวมถึงปัญหาอื่นๆอีกมากมาย ทำให้เราเลิกกันและหย่ากันในที่สุด
    สูญสิ้น คำนี้น่าจะใช้ได้ในเวลานั้น ผมสูญสิ้นทุกอย่างแม้แต่ครอบครัว ไม่สิผมยังมีลูกชายอยู่เพราะตอนหย่า ผมได้เป็นผู้ปกครองของลูกชาย แต่การสูญสิ้นหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน ทำให้ผมมืดแปดด้าน ผมยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ผมนั่งจมอยู่กับความสิ้นหวัง ความท้อแท้ สิ่งที่ผมทำตอนนั้นคือหนี หนีจากความเป็นจริง ผมไปที่อ.ปายไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นที่นั่น แต่ผมไปที่นั่นไปเพื่อหนีจากโลกความจริง ผมโชคดีที่ได้เจอครอบครัวมูเซอครอบครัวนึง ที่ให้ความเมตตาต่อผม ให้ที่อยู่ที่กิน ให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูผม ผมอยู่ที่ปายพักนึงแล้วผมก็กลับมากรุงเทพอีกครั้ง มาเรื่องการฟ้องร้องที่ยังไม่จบ ผมจำได้ดีว่าในวันนึง ผมไปที่ตึกที่ถูกทิ้งเพราะเศรษฐกิจแย่ไม่มีเงินจะทำต่อ ผมยืนอยู่ริมบนดาดฟ้าของตึกนั้น
    ใช่ครับ....ผมกำลังคิดฆ่าตัวตาย กำลังจะกระโดดลงมา เพื่อหนีความจริงที่ผมไม่สามารถรับได้ ในขณะที่ผมสิ้นหวังที่สุดวินาทีนั้น ผมได้ยินเสียงลูกชายของผม ฮาร์ทเรียกผม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นจริงหรืออะไร แต่ผมได้ยินจริงๆ คำเรียกว่า ป๊ะป๋า ผมหยุด...หยุดที่จะก้าวเดิน ผมถอยออกมาแล้วร้องไห้ ผมนั่งลงและร้องไห้อยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไร นั่นเป็นเสียงที่เรียกชีวิตผมกลับมา ผมไม่รู้จริงๆว่าเสียงนั้นมาได้ยังไง แต่ถ้าไม่มีเสียงนั้นป่านนี้ผมคงตายไปแล้ว เสียงจากลูกชาย เขาคือคนที่ช่วยชีวิตผมไว้ เป็นเสียงที่ทำให้ผมกลับมาเป็นผมอีกครั้ง
    ผมจำได้ว่าผมรีบกลับบ้าน ฮาร์ทอยู่กับแม่ผมท่านกรุณาเลี้ยงดูลูกชายผมในยามที่ผมเสียสติ ผมกอดฮาร์ทเอาไว้แต่ร้องไห้ ผมพูดกับตัวเองเลยว่า ผมจะไม่ทำอะไรโง่ๆแบบนั้นอีกแล้ว เพราะยังมีคนที่รอผมอยู่ ผมแค่สูญเสียสิ่งรอบกายภายนอกไป ผมแค่เป็นหนี้สิน แต่พอมองไปรอบๆตัว ผมเห็นพ่อ แม่ พี่ชาย และลูกชายผม สิ่งสำคัญและมีค่าของผมยังอยู่ครบนี่ พวกเขายังรอและพร้อมที่จะเป็นกำลังใจและคอยช่วยเหลือผมอยู่เสมอ
    ผมกลับมาเพื่อจะสู้อีกครั้ง พ่อ-แม่ให้ผมไปช่วยอาค้าขายที่ประเทศสิงค์โปร์ เป็นความช่วยเหลือจากญาติที่ให้ผมมีอาชีพและไม่ต้องคิดมาก ผมอยู่สิงค์โปร์อยู่พักนึงก็กลับมาเมืองไทย(ไว้มีโอกาสผมจะเล่าเรื่องผมในสิงค์โปร์ให้ฟัง) เมื่อกลับมาก็เริ่มหาสมัครงาน แต่ก็ไม่มีที่ไหนจะรับคนในสภาวะเศรษฐกิจยามนั้น ผมรับจ้างทุกอย่างเท่าที่พอหาได้ ผมโชคดีที่ยังมีครอบครัวที่ยังช่วยผมอยู่ จำหนุ่มเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันได้ไหมครับ หนุ่มเองก็เจอผิดเศรษฐกิจไม่น้อยไปกว่าผม ตอนนั้นเราสองคนทำทุกอย่างที่พอทำได้ และเราก็เจออาชีพที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำ อาชีพนี้ได้รับการแน่ะนำจากพี่หนุ่มที่เป็นหัวหน้า(อย่าสับสนน่ะครับเพราะมี2หนุ่ม พี่หนุ่มที่เป็นหัวหน้าและหนุ่มที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนอาชีวะ) อาชีพที่ว่าคือ เก็บขวดน้ำขาย ใช่ครับเก็บขวดน้ำที่เขาทิ้งกันแล้ว เก็บมาเพื่อส่งให้พี่หนุ่มล้างทำความสะอาด และส่งขายต่อไป
    ผมกับหนุ่มหาแหล่งที่มีขวดน้ำแยอะๆ เช่นโรงเรียน ขนส่งหมอชิต และตามห้างต่างๆ เชื่อไหมครับว่ามันเป็นธุรกิจใหญ่และมีการแย่งชิงกันรุนแรง มีเป็นมาเฟียในหมอชิตเลยน่ะครับ หรือตามโรงเรียนก็มีคนเก็บอยู่แล้ว ผมและหนุ่มมีรายได้ไม่มากนัก เพราะรายได้ต่อขวดเป็นเศษสตางค์ ผมและหนุ่มบางครั้งรวมเงินกันเพื่อซื้อข้าวกิน แต่เราไม่ได้ย่อท้อ นั่นทำให้ผมและหนุ่มสนิทกันมาก ผมก็บอกได้เลยว่า หนุ่มคือเพื่อนแท้ เพื่อนที่สู้ด้วยกัน ลำบากด้วยกันและไม่ทิ้งกัน
    ต่อมาทุกๆอย่างเริ่มดีขึ้น หนุ่มได้งาน ผมก็มีงานทำต้องขอบคุณพี่เอ๋(สมชาย)ที่กรุณารับผมเข้าทำงานที่สำนักข่าวINN ในตำแหน่งช่างเทคนิค แม้เงินเดือนจะไม่มากมายอย่างที่เคยได้รับ แต่มันทำให้ผมได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง "หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ"
    ผมกลับมามองย้อนดู ผมเห็นถึงสิ่งที่ทำให้ผมกลับมาได้ นั่นคือครอบครัวและเพื่อนๆ ผมไม่ได้สูญเสียอะไรมากมายเลย ผมแค่ยึดติดกลับเรื่องเก่าๆแค่นั้น ผมคิดว่าคงไม่มีเหตุการณ์ไหนทำให้ผมล้มและคิดฆ่าตัวตายได้อีก ผมได้ผ่านความเป็นความตายมาและช่วงที่เรียกได้ว่ายากลำบากที่สุดมาได้แล้ว นั่นยิ่งทำให้ผมเชื่อมั่นอีกมากว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้


ขอขอบคุณพ่อ แม่ พี่ชาย ญาติๆและลูกชาย รวมถึงเพื่อนๆที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจ โดยเฉพาะหนุ่ม เพื่อนที่ลำบากมาด้วยกัน ขอบคุณพี่เอ๋(สมชาย)ที่ได้ให้โอกาสผมทำงานอีกครั้ง ขอบคุณจากหัวใจครับ
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น