วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

ครอบครัว



    ครอบครัว....คำๆนี้ ฝังอยู่ในใจผมมานานแล้ว ผมวาดฝันมาตลอดว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุข เช่นเดียวกับที่ผมได้รับความอบอุ่นมาตลอดจากพ่อแม่ เมื่อถึงเวลาที่ผมสร้างครอบครัวของผมเอง ก็คาดหวังอย่างมากที่จะเป็นให้ได้อย่างที่ผมได้รับมา ผมเริ่มต้นสร้างครอบครัวของผมเองเมื่ออายุ23ปี อาจมองดูว่าเด็กเกินไป แต่ผมคิดว่าผมพร้อมแล้วสำหรับการสร้างครอบครัว แต่แล้วครอบครัวที่ผมสร้างตอนนั้นก็พังลง แต่มันไม่พังเสียทั้งหมด ผมได้รับของขวัญที่แสนวิเศษมาด้วย นั่นคือลูกชายคนแรก ผมตั้งชื่อลูกชายผมว่าฮาร์ท และลูกชายคนนี้ล่ะที่ช่วยชีวิตผมไว้ในยามที่ผมสิ้นหวังที่สุด
    แม้ว่าครั้งแรกจะพังไม่เป็นท่า แต่ผมก็ยังที่จะไขว้คว้าที่จะสร้างครอบครัวให้ได้ ทุกครั้งผมจะพยายามที่จะทำให้ครอบครัวที่ผมสร้างมีแต่ความสุข แต่ก็ล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง ผมไม่โทษใครเลยนอกจากตัวผมเอง เพราะผมเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่กลับไม่สามารถประคับประครองครอบครัวให้อยู่ต่อไปได้ ผมพยายามหาคำตอบในตัวเองเสมอว่า ทำไมครอบครัวที่ผมสร้างถึงพังลง แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ชัดเจนเสียที แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นชัดเจนจากตัวผมก็คือความใจร้อนและไม่ยอมฟังใคร นั่นน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ครอบครัวที่ผมพยายามสร้างพังลงเสียทุกครั้งไป
    ผมพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ที่เป็นคนใจร้อนไม่ฟังใคร ผมใช้ความรักในการสร้างครอบครัว แต่ก็ยังล้มเหลวอยู่ดี ผมรู้สึกเศร้าใจมากว่าทำไม ผมทำผิดพลาดอะไรมากมายนักหรือ ถึงทำให้ครอบครัวที่ผมพยายามสร้างต้องล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง แรกๆก็ดูเหมือนจะไปด้วยดีแต่พอนานวันเข้า ก็ค่อยๆแย่ลงๆ ผมรู้สึกผิดมาก..ผิดที่ผมทำให้มันพังลง ผิดที่ทำให้ของขวัญที่แสนวิเศษจากความรัก ต้องอยู่ในสภาวะตครอบครัวแตกแยก
    ลูก...ผมรู้สึกผิดต่อพวกเขามาตลอด พวกเขาคือของขวัญที่เกิดจากความรัก ของขวัญที่สุดแสนวิเศษ แต่ผมกลับทำให้พวกเขาต้องพบกับครอบครัวที่แตกแยก ต้องพบกับความเสียใจและการพลัดพราก ทุกๆวันพ่อและวันแม่ ผมมักร้องไห้อยู่คนเดียวที่นึกถึงว่า ลูกจะรู้สึกยังไงที่เขาขาดพ่อหรือขาดแม่ ในขณะที่เพื่อนๆของเขามีพร้อม เขาจะรู้สึกยังไงเวลาที่ต้องเขียนเรียงความในวันพ่อและวันแม่ เขาจะรู้สึกยังไงในงานวันพ่อและวันแม่ที่โรงเรียน
    ผมได้รับโอกาสในการสร้างครอบครัวหลายครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมได้พบกับคนที่แสนวิเศษ และคนที่เป็นแม่ของลูกของผม กิ๊ก...เธอเป็นคนที่ยอมรับและให้โอกาสผมอีกครั้ง ในการสร้างครอบครัวที่ผมฝันไว้มาตลอด ผมเล่าเรื่องต่างๆให้เธอได้รับรู้ เพราะผมเชื่อว่า ความจริงใจคือจุดเริ่มต้นของความรักที่ดี
    กิ๊กรับรู้และเข้าใจสิ่งที่ผ่านมาในอดีตของผม แม้หลายครั้งอดีตของผมจะไปรบกวนจิตใจเธอบ้าง แต่เราก็พูดคุยและยอมรับในกันและกัน เธอให้โอกาสผม และเธอได้มอบของขวัญที่แสนวิเศษให้ผมด้วย ลูกชาย...ผมกับกิ๊กมีลูกด้วยกัน เขาชื่อ อะตอม
    ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง แต่ผมกับกิ๊กจะพยายามสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับครอบครัวของเรา เราจะมีความรักและความเข้าใจให้กันและกันมากที่สุด ส่วนตัวผมเองมักจะทำให้ทุกๆวันเหมือนวันที่ผมและเธอรักกันในวันแรก ให้ครอบครัวเรายึดโยงไว้ด้วยความรักและความเข้าใจ แม้จะมีทะเลาะหรืองอนกันบาง แตนั่นจะไม่ทำให้เราเลิกรักกัน
    นี่คือครอบครัวที่ผมฝันมาเสมอ ครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน ดูแลกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน และจะอยู่ด้วยกันจนวันสิ้นลมหายใจ ในวันที่เราแก่เฒ่า..เราจะยังจูงมือกันเดินไปพร้อมๆกัน ผมเชื่ออยู่เสมอว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถ้าเราพยายาม


ขอบคุณ กิ๊ก(ภรรยาของผม) ที่ได้ให้โอกาสที่ให้เค้ารักตัวเอง ที่มอบความรักของตัวเองให้เค้า เค้าคงไม่สัญญาว่าจะรักตัวเองมากแค่ไหน....แต่เค้าจะทำให้ตัวเองเห็นเลยว่าเค้ารักตัวเองมากแค่ไหน
 

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

2ล้อของผม



    ผมหลงไหลในเสน่ห์ของสองล้อมาตั้งแต่วัยรุ่น เริ่มตั้งแต่เรียนปวช.มอเตอร์ไซด์คันแรกของผมเป็น ยี่ห้อ ฮอนด้า โนวา(NOVA) เป็นพาหนะคู่ใจที่พาผมไปทั้งเรียนและเที่ยวเตร่ ก็ตามนิยมวัยรุ่นชายที่ชอบเป็นสิงห์นักบิด แต่ผมไม่เน้นเร็วหรือเสียงดังน่ะ เน้นขับดูสาวมากกว่า คือตอนนั้นถ้ามีรถมอเตอร์ไซด์นี่สาวมองตามเลยน่ะ นี่เป็นสิ่งแรกที่อยากได้มอเตอร์ไซด์ แต่แม่ผมจะเป็นห่วงมากในตอนแรกคัดค้านเต็มที่ว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่ซื้อให้เด็ดขาด ด้วยความคะนองของผม วันนึงผมแอบขโมยรถมอเตอร์ไซด์ของพี่ชายไปขับ และด้วยยังขับไม่แข็งและรถมีขนาดใหญ่เกินตัว ทำให้รถมอเตอร์ไซด์คันนั้นล้มและสตาร์ไม่ติดเลย ทำไงล่ะที่นี้...ครับทำไรไม่ได้นอกจากเข็นกลับบ้าน ลองนึกตามว่าคนตัวเล็กๆขาเจ็บ แขนถลอกต้องเข็นรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่กว่าตัวกลับบ้าน ซึ่งเดินเข็นรถจากปากซอยเข้าบ้านระยะทางประมาณ 1.5กม. สุดๆของความเหนื่อยเลยล่ะครับ แถมกลับมาโดนดุที่แอบเอารถออกไปและล้มกลับมา พี่ชายผมก็ดีใจหายไม่ว่าผมสักคำ คงเพราะเห็นน้องเจ็บกลับมาด้วย(ขอบคุณพี่หนึ่งน่ะครับที่ไม่ดุ) และนั่นทำให้แม่เห็นว่าห้ามผมไปก็เท่านั้น และยอมซื้อมอเอตร์ไซด์ให้ผม
    พอผมเริ่มเข้าทำงานก็มีโอกาสได้เปลี่ยนมอเอตร์ไซด์คนใหม่ ตอนนั้นเพื่อนผมที่ชื่อเป๊ะ ขับมอเตอร์ไซด์แนวชอปเปอร์ เท่าที่จำได้น่าจะเป็น NV400 นั่นกระตุ้นให้ผมอยากขับชอปเปอร์ขึ้นมาในทันใด มอเตอร์ไซด์แนวนี้ส่วนใหญ่ในไทยจะเป็นของมือ2มาจากญี่ปุ่น ในที่สุดผมก็ได้ชอปเปอร์มาจนได้ นั่นคือ HONDA รุ่นRebel ตัวพิเศษเป็นคาร์บูเรเตอร์คู่ พอมีมอเตอร์ไซด์แล้วชุดแต่งกายก็ต้องตามมา รถมอเตอร์ไซด์แนวนี้ก็ต้องแต่งให้เข้ากะรถหน่อย ผมเลือกแต่งด้วยเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์และรองเท้าบูตยาวถึงหน้าแข้ง และที่ขาดไม่ได้เลยคือผมยาวเวลาขับรถที่ผมงี้พริวไปตามสายลมเลยครับ ไว้ยาวสุดก็ถึงเข็มขัดน่ะครับ เป็นไอ้หนุ่มผมยาวเลย
    สมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายใส่หมวกกันน๊อค เลยปล่อยผมเต็มที่แต่ก็มีบ้างที่ผูกผมเปียหางม้า และบางที่ต้องอยากสวยบ้างเลยผูกผมแกะสองข้างมันสะเลย ผมว่าตัวผมแนวสุดๆเลยน่ะแต่คงอื่นมองอาจดูแปลกๆสักหน่อย ตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมเดินกับเพื่อนชายอีกคนที่ไว้ผมยาวพอๆกัน มีรถบรรทุกขับผ่านมาจากด้านหลังแล้วตะโกนแซวว่า ไปไหนเหรอจ๊ะน้องสาว พอเห็นหน้าผมและเพื่อนเท่านั้นล่ะ เสียงแซวหายไปทันทีพร้อมเร่งเครื่องรถบรรทุกออกไปอย่างรีบร้อน
    หลังจากนั้นก็เริ่มขับรถยนต์และก็ขับรถยนต์อยู่หลายปี แต่ความรู้สึกบอกว่าผมอยากขับมอเอตร์ไซด์มากกว่า นั่นทำให้ผมมองหายมอเตอร์ไซด์ในสไตล์ที่ผมชอบอีกครั้ง...ยังจำเป๊ะเพื่อนของผมได้ใช่ไหม๊ครับ เพื่อนคนนี้ล่ะที่เป็นเหมือน Idol ในเรื่องมอเอตร์ไซด์ของผม เป๊ะเป็นคนที่หลงไหลสองล้อเช่นกัน ขนาดว่ามีมอเตอร์ไซด์ในครอบครองพร้อมกันที่เดียว4คัน4สไตล์ คนที่ไม่ชอบสองล้ออาจมองว่ามีทำไมเยอะแยอะ แต่นี่ล่ะครับคนรักมอเตอร์ไซด์ตัวจริง ตอนนั้นเป๊ะขับมอเตอร์ไซด์ KSRจากยี่ห้อ Kawasaki เป็นรถแนวโมตาด คือเป็นรถวิบากที่วิ่งทางเรียบน่ะครับ เมื่อผมเห็นเข้าก็บอกตัวเองทันทีว่านี่ล่ะตัวผม
    และแล้วผมก็ได้ครอบครองเจ้าKSRสีแดง(ตัวในรูปบนสุดเลยครับ)มาจนได้ มีเข้ากลุ่มกับคนรักKSRด้วยน่ะครับ เรื่องแต่งรถไม่ต้องพูดถึง เปลี่ยนเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็น แฮนด์ ปลอกมือจับ ไฟเลี้ยว ไฟท้าย ท่อเรียกได้ว่าอะไรเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนหมด ผมรู้สึกถึงความสุดที่กลับคืนมาอีกครั้ง การได้ขับมอเตอร์ไซด์ไปตามท้องถนน มันเป็นความสุขจริงๆแม้ว่าจะต้องใส่หมวกกันน๊อตก็ตาม
 
   เมื่อเริ่มแล้วจึงหยุดไม่ได้ ผมได้ขยับมาขับรถที่ใหญ่ขึ้น(สูงขึ้นด้วย) แต่เป็นแนวโมตาดเหมือนเดิม นั่นคือ Dtracker 150 ยี่ห้อ Kawasaki มันอาจดูไม่ใหญ่โตไรมากนักแต่สูงสำหรับคนตัวเล็กแบบผม มันเป็นความสุขใจจริงๆที่ได้ขับขี่มอเอตร์ไซด์ไปที่ต่างๆ แม้ผมจะมีรถยนต์ด้วยแต่ผมเลือกที่จะขับมอเตอร์ไซด์มากกว่า มันเหมือนผมเสพติดสองล้อจนไม่อาจทอนตัวได้ ต้องขอบคุณเพื่อนเป๊ะที่คอยให้ความรู้และเป็นกูรูในเรื่องมอเตอร์ไซด์ให้ผม ไม่ว่าจะเรื่องรถหรือการแต่งตัวก็ตาม
    ผมไม่ได้เน้นการขับขี่แบบเร็วหรือแข่ง ไม่เน้นในเรื่องท่อเสียงดังน่ารำคาญ แต่ผมชอบที่จะขับขี่มอเตอร์ไซด์ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะไปทำงานหรือเที่ยวเล่น ชอบที่ให้สายลมไหลผ่านตัว ชอบที่จะวิ่งไปอย่างอิสระ การขับขี่มอเตอร์ไซด์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังขี่ม้าวิ่งไปในทุ่งกว้างเลยที่เดียว ขอบคุณที่โลกนี้มีมอเตอร์ไซด์เพราะนี่ล่ะครับ ความสุขอีกส่วนในชีวิตผม

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

คำสารภาพ



    เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้ผมอยากเขียนเรื่องชีวิตในอดีตของผม แต่ผมลังเลอยู่นานที่จะเล่าเรื่องนี้ออกสาธารณะ มันเป็นเรื่องที่ผมได้ทำผิดร้ายแรงและเลวร้ายที่สุดในชีวิตผมที่ทำมา แต่ผมก็อยากเล่าเพื่ออย่างน้อยก็เป็นการไถ่ความผิดบาปที่ผมกระทำ แม้การยอมรับผิดในสิ่งที่ทำนี้จะมีผลเพียงน้อยนิดก็ตาม
    ผมเคยพาอดีตแฟนไปทำ แท้ง เป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่มันยังเป็นตราบาปในใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มจากการที่อดีตแฟนผมท้องซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้แต่งงานกัน ด้วยความที่ไม่อยากให้พ่อแม่ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายผมทราบ เราจึงเลือกที่จะทำแท้ง เลือกที่จะปกปิดสิ่งที่ตัวเองทำโดยการฆ่าหนึ่งชีวิต เมื่อเราสองคนตัดสินใจกันแล้วก็พยายามหาว่าที่ไหนรับทำแท้ง โดยการสอบถามเพื่อนๆและคนรู้จัก และเราก็ทราบว่ามีที่ไหนทำ มันเป็นห้องแถวที่ทำเหมือนคลีนิคที่มีป้ายบอกว่ารับปรึกษาปัญหาครอบครัว ตอนนั้นเราสองคนกล้าๆกลัวๆที่จะเข้าไปแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าไปจนได้
     ผมเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นพยาบาลเดินมาถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆว่า มาทำอะไร ผมจึงตอบไปว่ามาทำแท้ง พยาบาลคนนั้นสอบถามเรื่องอายุครรภ์ซึ่งผมก็ตอบไปว่าเกือบ2เดือน พยาบาลคนนั้นจึงบอกขั้นตอนในการทำและค่าใช้จ่าย พยาบาลคนนั้นบอกว่าจะต้องทำการขูดมดลูกเหมือนทำลายก้อนเนื้อนั้นออก และจะมีการให้เลือดและน้ำเกลือเพราะจะอ่อนเพลียจากการเสียเลือดมากรวมถึงค่าใช้จ่ายในการทำเป็นเงิน 3000บาท ใช้เวลาทำไม่เกิน3ชั่วโมงก็กลับบ้านได้เลย
    เราตกลงที่จะทำแต่ผมไม่สามารถเข้าไปดูการทำได้ อดีตแฟนผมจึงเข้าไปตามลำพังกับพยาบาลคนนั้น ผมนั่งรออยู่ประมาณ3ชั่วโมงได้ พยาบาลคนนั้นก็ประคองอดีตแฟนผมออกมา เธอดูอิดโรยหน้าตาดูซีดมาก แขนขาไม่มีแรง ผมถามเธอว่าเป็นยังไงบ้าง เธอบอกเธอไม่มีแรงจะขยับตัว รู้สึกเจ็บที่ช่องคลอด ก่อนกลับพยาบาลให้ยามาถุงนึงบอกว่าเป็นยาแก้ปวด
    เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็นอนหลับทันทีด้วยความอ่อนเพลีย เธอยังปวดอยู่อีก2-3วันแล้วค่อยๆดีขึ้น ตั้งแต่นั้นเราไม่เคยพูดกันถึงเรื่องนี้อีกเลยจนเราเลิกลากันไป ผมยอมรับว่าตอนนั้นไม่ได้รู้สึกถึงความผิดที่ผมได้ทำสักเท่าไรนัก แต่มันก็ยังอยู่ในใจผม
    หลังจากนั้นชีวิตผมก็ดีๆล้มๆ ส่วนในเรื่องชีวิตคู่นี่พอจะดีขึ้นมาก็มีอันต้องเลิกกันไป ชีวิตที่ดูเหมือนจะไปได้ดีก็ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า อาจเป็นเพราะเวรกรรมที่ผมทำในวันนั้นแต่คงไม่ใช่แค่เวรกรรม มันน่าจะเกิดเพราะการกระทำที่ผิดพลาดของผมเองด้วย แต่ด้วยปัญหาหลายๆครั้งทำให้ผมมองย้อนในสิ่งที่ผมทำแท้ง นี่อาจเป็นกรรมที่ผมต้องชดใช้จริงๆก็เป็นได้
    ที่ผมมาเล่าเพื่ออยากเตือนสติคนที่คิดจะทำเรื่องเลวร้ายนี้ ขอให้เลิกคิดสะ อย่าอ้างถึงความไม่พร้อมหรือหลากหลายข้ออ้างต่างๆ สิ่งที่ควรทำคือการยอมรับความจริง รับในสิ่งที่เกิดในอนาคตอันใกล้ เพราะไม่งั้นอาจเสียใจไปตลอดชีวิตแบบผม
    วันนี้ผมดีใจที่ได้มาเล่าสิ่งที่ผมได้กระทำ ผมไม่อายที่จะยอมรับว่าทำผิดพลาดไป เพราะนั่นคือเรื่องจริง ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมพยายามที่ไถ่บาปในความผิดนี้ แต่ความผิดก็คือความผิดต้องยอมรับในผลที่จะเกิดและผมก็ยอมรับแล้วด้วยใจ
    ผมขอกราบขอขมาในสิ่งที่ผมได้ทำไว้ หากเรื่องเล่านี้สามารถช่วยเตือนสติให้คนที่คิดจะทำเลิกกระทำได้ บุญกุศลที่เกิดขึ้นทั้งหมดผมขออุทิศในแก่เด็กน้อยที่ผมได้ทำร้ายชีวิตเขาไป ขออโหสิกรรม


คำว่าขอโทษใดๆคงใช้อะไรไม่ได้ จึงอยากเตือนสติว่าการทำสิ่งเลวร้ายใดๆ ผมอยากให้ใช้สติใช้ปัญญา คิดและไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน เพราะหากทำไปแล้วเราไม่สามารถจะย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

ผมเลือกที่จะเป็นตัวผม



     ตอนนี้ขอมาเล่าความอึดอัดใจสักนิด ก็ไม่ใช่อะไรมากมายหรอกครับ แค่ผมหน้าตาไม่เหมือนคนดี แค่ตัวคล้ำออกดำ แค่ใส่ต่างหู แค่มีรอยสักสองแขนสองขา แค่ไม่เหมือนชาวบ้านเท่าไร แค่นั้นจริงๆ เรื่องของเรื่องก็ไม่มีไรหรอกครับ อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับผมออกแนวน่ากลัว จนทำให้หลายๆคนมองผมไปในทางที่ไม่ดีเท่าไร
    เริ่มตั้งแต่วัยรุ่นเลยล่ะครับ เวลาผมไปเดินซื้อของพวกเสื้อผ้าในห้าง พนักงานจะเดินตามติดเลย ไม่ได้เพื่อบริการผมน่ะ แต่คอยดูว่าผมจะขโมยของเขาไหม เคยมีแบบว่าพนักงานเดินมาบอกเลยว่าแพงน่ะ ผมนี่ปรี๊ดดดดดเลย ถ้าผมไม่มีตังคงไม่เดินเข้ามาร้านคุณหรอกครับ นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆที่ผมเจอมาตั้งแต่วัยรุ่น คงเพราะลักษณะเด่นที่คล้ายโจรของผมนั่นเอง
    ผมเคยโดนดูถูกจากบุคคลท่านนึงว่า น้ำหน้าแบบผมก็เป็นได้แค่กุ้ยหรือกรรมกร เรียนก็คงได้แค่อาชีวะเท่านั้น ท่านนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอดีตแม่ยายผมเอง ท่านคงอยากให้ลูกสาวท่านคบกับคนที่ปกติทั่วไปมากกว่าคนแบบผม นั่นเป็นคำที่จุดประกายให้ผมเป็นผมทุกวันนี้เลยที่เดียว ตอนนั้นผมเริ่มทำงานได้สักพักแล้ว จบปวส.มาได้สักปีกว่าๆ ผมเก็บคำดูถูกนั้นไว้ในใจผม ตอนนั้นยอมรับว่าโกรธมาก ผมตั้งใจไว้เลยว่าผมจะเรียนต่อให้จบปริญญาตรี และต้องมีงานที่ดีให้ได้
    นั่นเป็นจุดที่ทำให้ผมเรียนต่อและตั้งใจทำงานมากขึ้น เพื่อลบคำสบประมาทนั้นให้ได้ เพราะนิสัยไม่ยอมแพ้แบบผมทำให้ผมจบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์มาได้ รวมทั้งมีงานทำที่ดีมีเงินเดือนที่ไม่อายใคร เมื่อถึงวันที่ผมจบวันนั้นผมไม่ต้องเอ่ยปากบอกท่านเลย เพราะท่านเห็นสิ่งที่ผมทำอยู่แล้ว ผมไม่ได้โกรธท่านแล้ว แต่กลับขอบคุณที่ว่าผมในวันนั้น ยังครับยังไม่หมด ผมสร้างตัวตนของผมเองขึ้นมาใหม่ เพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นว่า คนรูปชั่วตัวดำไม่จำเป็นต้องเป็นคนเลว
     ในช่วงวัยรุ่นผมแค่ใส่ต่างหูซึ่งเมื่อ20กว่าปีก่อน ผู้ชายใส่ต่างหูจะดูแปลกมากและดูไม่น่าคบหา ผมเริ่มสักด้วยความชอบส่วนตัวและคนสักไม่จำเป็นที่ต้องคนที่เคยติดคุกมาก่อน การสักของผมลุกลามไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้เต็มสองแขน และที่ขาทั้งสองข้าง ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจทำ ด้วยความชอบส่วนตัวและเพื่อพิสูจน์ว่าคนแบบผมเป็นคนดีได้ เป็นคนที่อยู่ในสังคมได้ หรือแม้แต่การแต่งกายก็จะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ทั้งทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน จนแม่ผมเอ่ยบอกเลยว่าผมเป็นคนขวางโลก
     ตลอดเวลาผมได้พยายามพิสูจน์ในคนที่พบเห็นหรือเกี่ยวข้องกับผมไม่ว่าที่ทำงานหรือเพื่อนๆที่ได้รู้จักกัน ได้รับรู้และเห็นว่าคนที่มีลักษณะแตกต่างจากคนทั่วๆไปไม่จำเป็นต้องเป็นคนเลว ผมทำให้คนยอมรับผมในความสามารถจนมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกผมไปได้ ผมอยากบอกให้โลกรู้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้บอกถึงความคิดและจิตใจคนๆนั้นได้
    วันนี้ผมคิดว่าผมได้ทำสำเร็จในระดับนึงแล้ว แม้จะไม่ทำให้คนทุกคนรู้ได้ แต่คนที่ได้รู้จักผมคงจะยอมรับในตัวผมได้แน่นอน ถึงวันนี้ก็ยังมีคนมองผมแบบหวาดๆอยู่ มองผมด้วยสายตาแปลกๆอยู่ แต่นั่นเพราะเขาไม่รู้จักผม แต่ทุกวันนี้ผมเองก็ไม่ขินกับการถูกมองสักเท่าไร แม้จะถูกมองแบบนี้มานานแล้วก็ตาม
    เราเลือกที่จะเป็นได้ และไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถ้าเราพยายาม ทุกวันนี้การยอมรับคนที่มีลักษณะแตกต่างจากคนทั่วไปมากขึ้น ผมเชื่อว่าเพราะมีคนแบบผมอีกหลายล้านคน ที่พยายามพิสูจน์ตัวตนของเขาแบบที่ผมทำอยู่ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นได้

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

เขาหาว่าผมเป็นเกย์



    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับผมและหนุ่ม(เพื่อนรักของผม) แต่ก่อนอื่นต้องขออธิบายรูปลักษณ์ของผมสะหน่อย ผมสูงประมาณ160cm. ผิวสองสีออกไปทาเข้ม ไว้ผมสั้น น่าตาก็จัดว่าดูดีเหมือนโจร มีรอยสักที่แขนทั้งสองข้าง ส่วนหนุ่มนั้นเป็นผู้ชายน่าตาดีหล่อแบบลูกครึ่ง สูงประมาณ168cm. ผิวสองสีออกไปทางขาว ไว้ผมรองทรงเท่ๆ และด้วยผมมีเพื่อนหน้าตาดีทั้งหนุ่ม และเอ(เพื่อนสนิทอีกคน) จึงทำให้ผมมั่นใจมาตลอดว่าผมหล่อ เพราะอยู่ในกลุ่มคนน่าตาดี (ขอขำหน่อย 5555)
    ที่ต้องบรรยายรูปลักษณ์เพราะผมและหนุ่มถูกกล่าวหาว่าเป็นคู่เกย์(ช่างกล้าคิดจริงๆ) อย่างที่เคยเล่าในตอนชีวิตจริงยิ่งกว่าในละคร ผมกับหนุ่มรวมกันในยามยากลำบาก เราไม่ทิ้งกัน นั่นทำให้ผมกะหนุ่มสนิทกันมาก หลังจากที่ทุกอย่างดีขึ้นผมและหนุ่มไม่ว่าจะไปไหน มักจะเห็นเราไปด้วยกันและอย่างที่เคยเล่าผมมีลูกแล้ว หนุ่มเองก็มีภรรยา แต่คนที่บอกเราเป็นคู่เกย์ก็ภรรยาหนุ่มนี่ล่ะครับ
    ด้วยความที่ผมกับหนุ่มสนิทกันและไปไหนมาไหนด้วยกัน อีกทั้งยังมีงานที่ต้องทำรวมกันด้วย(ไม่ใช่เก็บขวดน้ำขายแล้วน่ะ) กลายเป็นที่น่าสงสัยของภรรยาหนุ่มไปสะงั้น ภรรยาหนุ่มมีพี่สาวคนนึงที่มักจะคิดและมโนเอาตามที่เข้าใจเองเออเอง พอภรรยาหนุ่มไปปรึกษากับพี่สาว และมีการคุยกันถึงพฤติกรรมของเราทั้งคู่ ทำให้พี่สาวของภรรยาหนุ่มมั่นใจมากว่าเราเป็นคู่เกย์ ถึงขนาดที่มีความสัมพันธ์กันเลยที่เดียว แถมภรรยาหนุ่มยังไม่ถามตัวหนุ่มเองด้วยว่าจริงหรือไม่ แต่ปักใจเชื่อตามที่พี่สาวบอก
    อาจเป็นเพราะผมกับหนุ่มบางครั้งจะชอบทำไม้ทำมือ สะดีดสะดิ้งสะเหมือนชาวเกย์ด้วยมั๊ง เลยยิ่งทำให้ภรรยาของหนุ่ม มั่นใจยิ่งขึ้นว่าผมกะหนุ่มเป็นคู่เกย์อย่างแน่นอน ตอนนั้นงานของเราจะมีติดต่อกับบุคคลมากและมีการเลี้ยงรับรองซึ่งแน่นอนว่าพากันไปเลี้ยงยามค่ำคืน ทำให้ยิ่งดูเหมือนว่าผมกับหนุ่มออกไปเที่ยวกันสองต่อสองทั้งๆที่หนุ่มก็บอกตลอดว่าไปไหน
    เหตุการณ์เริ่มรุกลามมากขึ้น หนุ่มและภรรยามีปากเสียงกัน จนภรรยาของหนุ่มเอ่ยปากถามเลยว่า หนุ่มกับผมเป็นเกย์และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันใช่ไหม หนุ่มพยายามที่จะบอกให้ภรรยาทราบถึงเหตุผลต่างๆที่ต้องไปกับผม หรือทำไมเราถึงสนิทกัน แต่เหตุการณ์ไม่ได้เบาลงเลย ถึงขนาดที่ภรรยาหนุ่มออกจากบ้านหนุ่มแยกตัวออกไปอยู่คนเดียว
    ตอนนั้นที่ผมทราบเรื่องจากหนุ่มรู้สึกตกใจและโมโหมาก โมโหที่ภรรยาหนุ่มคิดแบบนั้นแถมมีพี่สาวคอยยุอีก แต่พอสักพักก็รู้สึกขำว่า หน้าตาแบบผมนี่ ถ้าเป็นเกย์คงเป็นเกย์ที่ดูน่าเกลียดที่สุดในโลกแน่ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักหนุ่มและภรรยาค่อยพูดจากันรู้เรื่องมากขึ้น และตัวผมเองก็ยืนยัน นั่งยัน ว่าเราเป็นเพื่อนกัน เล่าถึงเหตุการณ์ที่เราสองคนลำบากมาด้วยกัน ซึ่งนั่นทำให้ผมและหนุ่มสนิทกันมาก
     ทุกอย่างได้ถูกพิสูจน์จนภรรยาหนุ่มแน่ใจว่าเราไม่ใช่คู่เกย์แน่ ผมและหนุ่มโล่งอก..ที่ผ่านเรื่องนี้ไปได้ ผมยังนึกขำทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ว่าครั้งหนึ่งผู้ชายแบบผมถูกกล่าวหาว่าเป็นเกย์ ผมไม่ได้รังเกลียดชาวเกย์น่ะครับ แต่ผมไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันอย่างแน่นอน


ผมกับหนุ่มยังมีวีรกรรมร่วมกันอีกแยอะ ไว้ผมจะถยอยเล่าในตอนต่อๆไป

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

เมื่อผมเป็นเพียงโต๊ะ ตู้ เตียง



    วันนี้ผมขอเขียนถึงกิ๊ก ภรรยาของผม เธอมักมีแนวคิดแปลกๆให้ผมประหลาดใจบ่อยๆ ขอเล่าตั้งแต่เริ่มต้นที่พบกันเลยน่ะครับ เพราะจุดเริ่มต้นนี่ล่ะที่เป็นเรื่องที่ผมอยากเล่าถึงในวันนี้
    เริ่มจากที่ผมเจอกิ๊กที่ทำงาน กิ๊กเป็นนักข่าวของนิตรสารและเขียนหลายคอลัมภ์ในนิตรสารที่ทำ ส่วนผมเป็นหัวหน้าช่างเทคนิค ที่ดูแลระบบออกอากาศวิทยุอีกบริษัทนึง แต่ทั้งสองบริษัทมีเจ้าของเดียวกัน และทำงานอยู่ที่เดียวกัน แต่ในออฟฟิตจะแยกหลักๆเป็น3โซน คือห้องServerซึ่งผมทำงานในห้องนี้คนเดียว ส่วนออฟฟิตคือส่วนที่กิ๊ก(ภรรยาผม)ทำงาน ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่อยู่ห้องนี้ และส่วนอีกโซนคือห้องออกอากาศ ที่อธิบายนี่เพื่อให้เห็นภาพว่าผมกับกิ๊ก ไม่ค่อยได้เห็นหน้ากันเท่าไรนัก
    กิ๊กถือว่าเป็นพนักงานใหม่เพราะอยู่มาได้ประมาณ1ปี ส่วนผมอยู่มา10ปีแล้ว สองบริษัทนี้เหมือนเป็นบริษัทเดียวกัน เพราะทำงานอยู่ที่เดียวกัน เว้นผมที่แยกห้องทำงานออกไป(คนนอกคอก) นั่นทำให้ผมและกิ๊กไม่ได้มีโอกาสที่จะคุยกันเลย แต่ด้วยที่ผมทำงานดูแลเทคนิคของทั้งสองบริษัท เวลาอุปกรณ์ITมีปัญหา กิ๊กก็จะเรียกผมให้ไปดู
    ผมเองเห็นกิ๊กครั้งแรกแล้วรู้สึกชอบ แต่ผมก็ได้แค่มองอยู่ห่างๆเพราะตอนนั้นเธอมีแฟนอยู่แล้ว ผมจะไม่ยุ่งกะแฟนใครเด็ดขาดอันนี้เป็นคติประจำตัวของผม เราได้คุยกันไม่เกิน5ครั้งในรอบปี จะว่าคุยก็คงไม่ได้เพราะเธอมาตามให้ผมไปดูคอมมากกว่า ผมก็ได้แต่เก็บความชอบของผมไว้ในใจ ได้แต่ดูเธออยู่ห่างๆ
     แต่เหมือนเป็นพรหมลิขิต หรือไม่ก็ผีผลัก วันเลี้ยงปีใหม่ของบริษัทเรามีการจับสลากแลกของขวัญโดยรวมกันทั้งสองบริษัท(ประมาณ20คน) ปีนั้นผมซื้อตุ๊กตาหมาตัวใหญ่ขนาด1.2ม.ไปจับสลาก ด้วยความคิดเล่นๆว่าให้ถือกลับกันลำบากๆ แต่ตุ๊กตาหมาตัวนั้นกลับเป็นที่สนใจของน้องๆในออฟฟิต ผมเลยพูดเล่นๆกับน้องๆว่า ใครจับสลากได้ตุ๊กตาตัวนี้ต้องเอาเจ้าของไปด้วยน่ะ.....แล้วคนที่จับได้ก็คือกิ๊ก ภรรยาของผมผู้นี้นี่เอง
     กลับมาทำงานหลังจากหยุดปีใหม่ ผมทราบว่าเธอเพิ่งเลิกกะแฟน เพราะผมติดตามFacebookเธออยู่เงียบๆ ตอนนั้นผมลังเลใจมาก เพราะการเข้าไปตอนที่เธอกำลังเสียใจมันเสี่ยง คาดเดาไม่ได้ว่าจะออกมาในทางบวกหรือลบ แต่คิดว่าตัวเราเองมีความจริงใจและหากช้าหรือลังเล ผมอาจพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตไป ตั้งแต่นั้นผมก็เริ่มพูดคุยกับกิ๊กมากขึ้น และดูเหมือนกิ๊กเองก็ดูออกว่าผมมาจีบ ผมเริ่มจากการชวนเธอดูหนังและผมแปลกใจมากที่เธอยอมมาดูด้วย ด้วยเหตุผลแปลกๆที่ผมยังไม่เข้าใจว่า ก็ลองมาดูหากผมรู้สึกไม่Happyเดียวผมก็หายไปเอง โดยรู้ที่หลังว่าตอนนั้นเธอยังไม่ได้ชอบผมเลย
    ในวันที่ดูหนังวันนั้นผมยังไม่ยินประโยคแนวคิดแปลกๆอีกอย่างคือ เธอเห็นผมเป็นดั่ง โต๊ะ ตู้ เตียง หมายความว่าผมมีตัวตนจริงแต่ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรก็แค่นั้น ผมนึกขำคำพูดของเธอที่เธอเปรียบเทียบแบบนั้น และเป็นประโยคที่ผมจำมาตลอดจนทุกวันนี้ ผมเป็นดั่ง โต๊ะ ตู้ เตียง
    จากวันนั้น...ความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงเตือนในหลายๆทางทั้งเพื่อน พ่อแม่พี่น้องของเธอ เพราะผมกับเธอห่างกันถึง19ปี ความแตกต่างที่ดูมากมายอีกทั้งผมยังเคยมีครอบครัวและมีลุกชายด้วย อีกทั้งปัญหากับคนในบริษัทที่มีความเข้าใจผิดหลายๆเรื่อง(ซึ่งผมขอไม่พูดถึงเพราะไม่มีสาระใด) มีประโยคที่ผมได้ยินผ่านกิ๊กหลายครั้งว่า ทำไมไม่หาคนดีๆล่ะ
    ผมทบทวนตัวเองหลายครั้งว่าผมไม่ดียังไง เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ การพนันไม่เล่น เข้าวัดทำบุญทุกวันพระ รักครอบครัว ผมว่าผมโครตดีเลยน่ะ ถ้าบอกผมดีเกินไปน่าจะเหมาะกว่า สิ่งที่ผมทำได้ก็คือพิสูจน์ในกิ๊กเห็นว่าผมดีพอ ผมรู้ดีถึงความแตกต่างหลายๆอย่างแต่ผมเชื่อว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ 
    หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ของกิ๊กบอกให้กิ๊กเลิกคบกับผม ให้ออกจากงานเพื่อไม่ให้เราเจอกัน ด้วยเหตุผลที่ผมไม่สามารถเอ่ยในนี้ได้ ผมได้พยายามทุกทางจนเกิดผล จนผมได้พาพ่อและพี่ชายมาสู่ขอกิ๊กและเราก็ได้แต่งงานกันในวันที่ 23 มิถุนายน 2556 เราสองคนช่วยเตรียมการงานต่างๆ ต้องขอบคุณเพื่อนเป๊ะ ที่ช่วยถ่ายรูปPre Weddingและดูแลความเรียบร้อยในงาน น้องต๋อยที่มาช่วยถ่ายรูปงานแต่ง กุ๊กและปังปอนด์ที่มาช่วยดูแลงาน น้องๆจากกลุ่มเกษตรสานที่มาช่วยตั้งแต่การเตรียมงานจนเสร็จสิ้นงาน และพี่ๆน้องๆอีกหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยถึง
     บนเวทีที่พิธีกรถามภรรยาผมว่ารู้สึกไงกับผม เธอบอกออกมาว่า แรกที่เดียวเห็นผมเหมือน โต๊ะ ตู้ เตียง แขกในงานขำกันใหญ่ที่ได้ฟังแบบนั้น แต่สำหรับผมแล้ว แม้ผมจะเป็นโต๊ะ ตู้ เตียง แต่คงเป็นโต๊ะ ตู้ เตียง ที่ภรรยาผมรักที่สุดแน่ๆ
     แม้ว่าเราจะมีความแตกต่างกันในหลายๆด้านแต่มันไม่ได้เป็นอุปสรรค์ในการที่เราจะรักกัน แม้มีอุปสรรค์มากมายที่พยายามแยกเราออกจากกัน แต่หากเราพยายามให้ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ การมีคนรักและได้รักกันว่ายากแล้ว การรักษาความรักเอาไว้ยิ่งยากกว่า ผมจะพยายามรักษาครอบครัวที่มีค่าของผมไว้ให้ดีที่สุด ผมฝันไว้เสมอว่าจะมีคนอยู่กับผมจนลมหายใจสุดท้าย และผมก็หวังว่ากิ๊กจะเป็นคนๆนั้น



สุดท้ายผมขอขอบคุณภรรยาของผม ที่เชื่อมั่นในตัวผมและเลือกที่จะใชัชีวิตร่วมกัน ขอบคุณครับ ที่รัก
 

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

ชีวิตจริงยิ่งกว่าในละคร



    ชีวิตจริงยิ่งกว่าในละคร หลายคนคงได้ยิ่งประโยคนี้มาแล้ว ถ้าผมจะบอกว่าชีวิตผมเองนี่ล่ะยิ่งกว่าละคร คุณจะเชื่อไหม จากที่ผมได้เล่าถึงความสำเร็จในชีวิตมาแล้ว ในตอนนั้นผมรุ่งเรืองและมีความสุขกับชีวิตมากๆ ทุกอย่างดูลงตัวไปหมด ความเป็นอยู่ของผมในช่วงนั้นเรียกได้ว่า พร้อมแล้วในทุกๆเรื่อง แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตที่มีความสุขกับครอบครัว
    แต่แล้วความสุขความรุ่งเรืองก็จบสิ้นลง เมื่อเกิดเศรษฐกิจแย่ในปี2540 ตอนนั้นเรียกได้ว่าเศรษฐกิจประเทศล้มอย่างสิ้นเชิง มีคนหลายพันหลายล้านคนคนที่ล้มไปด้วย ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งในตอนนั้นผมได้ออกจากที่ทำงานเดิม โดยการชักชวนจากพี่หนุ่ม(หัวหน้าผม)ออกมาทำที่ใหม่ด้วยกัน ที่ดูมีความก้าวหน้ามากกว่าเดิม รวมทั้งการลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อนด้วย พอเกิดวิกิตเศรษฐกิจก็ทำให้ที่ทำงานใหม่ก็ล้มและเลิกกิจการ ในส่วนของการลงทุนกับเพื่อนก็ล้มเป็นหนี้มากมาย มีการเครดิตของจากร้านค้าหลายร้านเพื่อทำธุกิจด้วย นั้นทำให้ผมเป็นหนี้อย่างมากในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
    ในตอนนั้นผมถูกฟ้องเรื่องหนี้สิ้น แถมตกงาน ทำให้เกิดปัญหาการเงินอย่างหนัก ผมจำเป็นต้องขายของที่เป็นของผมทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน แต่แม้จะขายทุกอย่างที่มีก็ยังไม่พอ จริงๆต้องบอกว่ายังไม่ได้1ใน3ที่เป็นหนี้ด้วยซ้ำ มีการฟ้องร้องกันหลายคดีซึ่งสุดท้ายก็ใช้การประนอมหนี้ ผมเป็นทั้งผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้อง ยังมีปัญหาครอบครัวที่เมื่อเริ่มเครียดและปัญหาการเงิน ก็เริ่มทะเลาะและใช้อารมณ์ใส่กันตอนนั้นผมมีลูกชายแล้วคนนึงชื่อฮาร์ท แม้ว่าเราจะมีลูกด้วยกันแต่สถานการณ์ตอนนั้นรวมถึงปัญหาอื่นๆอีกมากมาย ทำให้เราเลิกกันและหย่ากันในที่สุด
    สูญสิ้น คำนี้น่าจะใช้ได้ในเวลานั้น ผมสูญสิ้นทุกอย่างแม้แต่ครอบครัว ไม่สิผมยังมีลูกชายอยู่เพราะตอนหย่า ผมได้เป็นผู้ปกครองของลูกชาย แต่การสูญสิ้นหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน ทำให้ผมมืดแปดด้าน ผมยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ผมนั่งจมอยู่กับความสิ้นหวัง ความท้อแท้ สิ่งที่ผมทำตอนนั้นคือหนี หนีจากความเป็นจริง ผมไปที่อ.ปายไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นที่นั่น แต่ผมไปที่นั่นไปเพื่อหนีจากโลกความจริง ผมโชคดีที่ได้เจอครอบครัวมูเซอครอบครัวนึง ที่ให้ความเมตตาต่อผม ให้ที่อยู่ที่กิน ให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูผม ผมอยู่ที่ปายพักนึงแล้วผมก็กลับมากรุงเทพอีกครั้ง มาเรื่องการฟ้องร้องที่ยังไม่จบ ผมจำได้ดีว่าในวันนึง ผมไปที่ตึกที่ถูกทิ้งเพราะเศรษฐกิจแย่ไม่มีเงินจะทำต่อ ผมยืนอยู่ริมบนดาดฟ้าของตึกนั้น
    ใช่ครับ....ผมกำลังคิดฆ่าตัวตาย กำลังจะกระโดดลงมา เพื่อหนีความจริงที่ผมไม่สามารถรับได้ ในขณะที่ผมสิ้นหวังที่สุดวินาทีนั้น ผมได้ยินเสียงลูกชายของผม ฮาร์ทเรียกผม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นจริงหรืออะไร แต่ผมได้ยินจริงๆ คำเรียกว่า ป๊ะป๋า ผมหยุด...หยุดที่จะก้าวเดิน ผมถอยออกมาแล้วร้องไห้ ผมนั่งลงและร้องไห้อยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไร นั่นเป็นเสียงที่เรียกชีวิตผมกลับมา ผมไม่รู้จริงๆว่าเสียงนั้นมาได้ยังไง แต่ถ้าไม่มีเสียงนั้นป่านนี้ผมคงตายไปแล้ว เสียงจากลูกชาย เขาคือคนที่ช่วยชีวิตผมไว้ เป็นเสียงที่ทำให้ผมกลับมาเป็นผมอีกครั้ง
    ผมจำได้ว่าผมรีบกลับบ้าน ฮาร์ทอยู่กับแม่ผมท่านกรุณาเลี้ยงดูลูกชายผมในยามที่ผมเสียสติ ผมกอดฮาร์ทเอาไว้แต่ร้องไห้ ผมพูดกับตัวเองเลยว่า ผมจะไม่ทำอะไรโง่ๆแบบนั้นอีกแล้ว เพราะยังมีคนที่รอผมอยู่ ผมแค่สูญเสียสิ่งรอบกายภายนอกไป ผมแค่เป็นหนี้สิน แต่พอมองไปรอบๆตัว ผมเห็นพ่อ แม่ พี่ชาย และลูกชายผม สิ่งสำคัญและมีค่าของผมยังอยู่ครบนี่ พวกเขายังรอและพร้อมที่จะเป็นกำลังใจและคอยช่วยเหลือผมอยู่เสมอ
    ผมกลับมาเพื่อจะสู้อีกครั้ง พ่อ-แม่ให้ผมไปช่วยอาค้าขายที่ประเทศสิงค์โปร์ เป็นความช่วยเหลือจากญาติที่ให้ผมมีอาชีพและไม่ต้องคิดมาก ผมอยู่สิงค์โปร์อยู่พักนึงก็กลับมาเมืองไทย(ไว้มีโอกาสผมจะเล่าเรื่องผมในสิงค์โปร์ให้ฟัง) เมื่อกลับมาก็เริ่มหาสมัครงาน แต่ก็ไม่มีที่ไหนจะรับคนในสภาวะเศรษฐกิจยามนั้น ผมรับจ้างทุกอย่างเท่าที่พอหาได้ ผมโชคดีที่ยังมีครอบครัวที่ยังช่วยผมอยู่ จำหนุ่มเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันได้ไหมครับ หนุ่มเองก็เจอผิดเศรษฐกิจไม่น้อยไปกว่าผม ตอนนั้นเราสองคนทำทุกอย่างที่พอทำได้ และเราก็เจออาชีพที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำ อาชีพนี้ได้รับการแน่ะนำจากพี่หนุ่มที่เป็นหัวหน้า(อย่าสับสนน่ะครับเพราะมี2หนุ่ม พี่หนุ่มที่เป็นหัวหน้าและหนุ่มที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนอาชีวะ) อาชีพที่ว่าคือ เก็บขวดน้ำขาย ใช่ครับเก็บขวดน้ำที่เขาทิ้งกันแล้ว เก็บมาเพื่อส่งให้พี่หนุ่มล้างทำความสะอาด และส่งขายต่อไป
    ผมกับหนุ่มหาแหล่งที่มีขวดน้ำแยอะๆ เช่นโรงเรียน ขนส่งหมอชิต และตามห้างต่างๆ เชื่อไหมครับว่ามันเป็นธุรกิจใหญ่และมีการแย่งชิงกันรุนแรง มีเป็นมาเฟียในหมอชิตเลยน่ะครับ หรือตามโรงเรียนก็มีคนเก็บอยู่แล้ว ผมและหนุ่มมีรายได้ไม่มากนัก เพราะรายได้ต่อขวดเป็นเศษสตางค์ ผมและหนุ่มบางครั้งรวมเงินกันเพื่อซื้อข้าวกิน แต่เราไม่ได้ย่อท้อ นั่นทำให้ผมและหนุ่มสนิทกันมาก ผมก็บอกได้เลยว่า หนุ่มคือเพื่อนแท้ เพื่อนที่สู้ด้วยกัน ลำบากด้วยกันและไม่ทิ้งกัน
    ต่อมาทุกๆอย่างเริ่มดีขึ้น หนุ่มได้งาน ผมก็มีงานทำต้องขอบคุณพี่เอ๋(สมชาย)ที่กรุณารับผมเข้าทำงานที่สำนักข่าวINN ในตำแหน่งช่างเทคนิค แม้เงินเดือนจะไม่มากมายอย่างที่เคยได้รับ แต่มันทำให้ผมได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง "หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ"
    ผมกลับมามองย้อนดู ผมเห็นถึงสิ่งที่ทำให้ผมกลับมาได้ นั่นคือครอบครัวและเพื่อนๆ ผมไม่ได้สูญเสียอะไรมากมายเลย ผมแค่ยึดติดกลับเรื่องเก่าๆแค่นั้น ผมคิดว่าคงไม่มีเหตุการณ์ไหนทำให้ผมล้มและคิดฆ่าตัวตายได้อีก ผมได้ผ่านความเป็นความตายมาและช่วงที่เรียกได้ว่ายากลำบากที่สุดมาได้แล้ว นั่นยิ่งทำให้ผมเชื่อมั่นอีกมากว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้


ขอขอบคุณพ่อ แม่ พี่ชาย ญาติๆและลูกชาย รวมถึงเพื่อนๆที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจ โดยเฉพาะหนุ่ม เพื่อนที่ลำบากมาด้วยกัน ขอบคุณพี่เอ๋(สมชาย)ที่ได้ให้โอกาสผมทำงานอีกครั้ง ขอบคุณจากหัวใจครับ
   

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

ความสำเร็จในชีวิต



    ในการทำงาน ผมเชื่อว่าทุกคนมีความหวังในที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตัวเอง ผมก็เช่นกันครับผมคาดหวังในการทำงานไว้อย่างมาก โดยตั้งเป้าหมายในการทำงานอย่างชัดเจน และพยายามที่จะก้าวไปให้ถึงจุดหมายให้ได้
    ในช่วงแรกๆของชีวิตการทำงานของผมเป็นการปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบชีวิตใหม่ ที่ต้องไปทำงาน รับผิดชอบ และก้าวเดินไปข้างหน้าให้ได้ เมื่อเริ่มตั้งตัวได้แล้วผมก็เริ่มตั้งเป้าหมายอนาคตการทำงาน ในช่วงปีแรกผมเป็นเพียงเจ้าหน้าที่เทคนิคธรรมดาๆ แต่ผมตั้งเป้าไว้ว่า ในเวลา3ปี ผมจะเป็นSupervisor และภายใน6ปีผมจะเป็นManager มันเป็นช่วงไฟแรงของการทำงานก็ว่าได้ แต่เป้าหมายนี้ผมได้แรงบรรดาลใจมาจากหัวหน้าผมครับ พี่หนุ่ม(พรชัย)หัวหน้าที่สอนให้ผมตั้งเป้าหมายชีวิต สอนการทำงานต่างๆให้ผม และเป็นผู้มอบโอกาสเหล่านั้นให้ผม
    ในฝ่ายเทคนิคของเรา เริ่มแรกก็จะมีกัน4คน(ไม่รวมพี่หนุ่มพรชัยน่ะครับ) ตอนนั้นเท่าที่จำได้มี หนุ่ม(เพื่อนที่เรียนอาชีวมาด้วยกัน) เป๊ะ(เพื่อนที่เรียนอาชีวมาด้วยกัน) หนุ่ย และตัวผม เป็นการเข้างานเป็นกะ วันละ3กะต่อวัน มีหน้าที่ดูแลเครื่องส่งและห้องออกอากาศวิทยุ เมื่อทำงานไปเรื่อยๆ งานเริ่มขยาย เรามีรายการทั้งวัน3สถานีและเพิ่มเป็น5สถานี โดยที่เราจะต้องไปทำงานที่สถานีวิทยุซึ่งอยู่ในกรมประชาสัมพันธ์ ไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิต
    หลังจากนั้นได้มีการปฏิวัติวงการวิทยุโดยการ ทำห้องจัดรายการที่ออฟฟิตและยิงสัญญาณดาวเทียมไปที่สถานีหลักที่กรมประชาสัมพันธ์เพื่อออกอากาศ ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำในประเทศไทย ที่ทำแบบนั้นเพราะจะได้จัดการในเรื่องต่างๆได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเชิญแขกมาสัมภาษณ์ในรายการ หรือการจัดการระบบห้องออกอากาศได้อย่างไม่มีข้อจำกัด เพราะเดิมที่อยู่ที่สถานีหลัก จะทำอะไรก็ต้องทำหนังสือขออนุญาติเสียก่อน ซึ่งยุ่งยากและใช้เวลามาก
    และเมื่อมีห้องจัดรายการที่ออฟฟิตแล้ว จึงต้องมีการเพิ่มจำนวนทีมเทคนิคเพื่อรองรับการทำงาน นั่นคือพวกผมรุ่นแรกๆก็จะเลื่อนไปเป็นSupervisor ซึ่งจะมีการเพิ่มทั้งตัวลูกทีมและหัวหน้าทีม เป๊ะที่เคยทำงานเทคนิคมาด้วยกัน มีความชอบส่วนตัวในการทำรายการมากกว่าเป็นช่างเทคนิค จึงผันตัวเองออกไปเป็นผู้จัดรายการ ส่วนหนุ่ยซึ่งไม่ได้จบทางอิเล็คทรอนิคส์ก็ยังทำงานในส่วนของประสานงานรายการ ในตอนนั้นมีการแยกทีมงานออกชัดเจนไปส่วนงานต่างๆ ผมเป็นSupervisor Operation มีหน้าที่หลักคือดูแลห้องออกอากาศและการออกอากาศ หนุ่มเป็นSupervisor Network มีหน้าที่ประสานงานในกับสถานีวิทยุต่างๆในจะเข้าไปทำรายการทั่วประเทศ นั่นทำให้หนุ่มต้องเดินทางอยู่ตลอดและคอยประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องด้วย และฝ่ายเทคนิคยังมีส่วนงานพัฒนาระบบ ส่วนงานซ่อมบำรุงอีกด้วย โดยทั้งหมดนี้ใช้เวลา3ปีจากวันแรกที่ผมเข้าทำงาน ซึ่งผมได้เป็นSupervisorตามเป้าที่ผมตั้งไว้
    การเจริญเติบโตยังเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง มีระบบnetworkโดยจัดรายการที่เดียวออกหลายๆจังหวัดทั่วประเทศ และมีทีมงานเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นผมและเพื่อนๆได้ปรับเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นManagerของแต่ละส่วนงาน ผมเป็น Manager Operayionโดยใช้เวลาแค่2ปี เร็วกว่าที่ผมตั้งเป้าไว้คือ3ปี ทั้งนนี้ทั้งนั้น คงต้องขอบคุณพี่หนุ่มที่คอยผลักดันพวกเราให้เติบโตแบบก้าวกระโดด เชื่อไหมครับว่าผมเคยได้ปรับเงินเดือน 80% และปีต่อมาได้ปรับเงินเดือน100% จากการเลื่อนตำแหน่งเป็นManager
    นั่นเป็นช่วงที่เรียกได้ว่ารุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ ที่วัยรุ่นอายุไม่เกิน27แบบผมจะมีเงินเดือนหลายหมื่นบาท มีคอนโด มีรถยนต์ มีเงินทองใช้แบบสบายๆ และมีครอบครัวที่แสนสุข แต่นั่นต้องแลกมาด้วยการทำงานหนัก การเอาใจใส่งานจนแทบจะกินนอนที่ทำงาน และความรู้ที่ได้รับการสั่งสอนในวันนั้น ยังคงใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ ผมภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมาก ที่เด็กที่เกือบเรียนไม่จบ ปวส.แบบผม จะประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้ ต้องขอย้ำครับว่าพี่หนุ่ม(หัวหน้าผม) เป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้ผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ พี่หนุ่มเป็นมากกว่าพี่ มากกว่าเจ้านาย แม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่ได้เจอพี่หนุ่มเลย แต่ผมยังระลึกถึงบุญคุณที่พี่หนุ่มได้ให้กับผมอยู่เสมอ
     ผมมีงานนอกทำอีกหลายอย่างที่เพิ่มรายได้ให้กับผม ถ่้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังในคราวหน้าน่ะครับ และนั้นคือความรุ่งเรื่องในชีวิต ผมอาจเป็นคนโชคดีที่มีเจ้านายดี จังหวะเข้าทำงานที่ดี โอกาสดีๆ เพื่อนดีๆ และมีครอบครัวที่มีความสุข สำหรับผมแล้วช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เป็นช่วงที่ผมภาคภูมิใจอยู่เสมอ มันสอนให้ผมรู้ว่า หากเราต้องการจะประสบความสำเร็จ เราต้องพยายามให้เต็มที่ เหมือนประโยคที่ผมมักจะยึดเป็นคติประจำตัวคือ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้


เมื่อมีความสำเร็จย่อมมีความล้มเหลว ชีวิตผมขึ้นไปเรียกว่าสูงสุดและวันนึงผมก็ตกลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ในช่วงตกต่ำนี้เกือบทำให้ผมฆ่าตัวตาย
 

ก้าวแรกของชีวิตคนทำงาน

 
    เมื่อเราเติบโตขึ้น เราต้องหางานทำนั่นคือสิ่งที่เป็นไปของชีวิต เป็นการเริ่มก้าวจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ผมเองก็เช่นกัน เพียงแต่ผมเริ่มก้าวเดินตั้งแต่ผมยังเรียนไม่จบ ปวส. และก้าวที่ผมเริ่มต้นนั้นเป็นย่างก้าวที่นำพาผมมายังจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
    ผมเคยเล่าเรียนที่ผมโดนรีไทร์มาให้ฟังแล้ว และนั่นทำให้ผมเรียนจบช้ากว่าเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมา 1ปี และจากเพื่อนที่จบก่อนนี่ล่ะที่แน่ะนำงานในช่วงเรียนให้ผมทำ หนุ่มคือเพื่อนในสมัยเรียนอาชีวที่ชักพาผมมาสู่อาชีพนี้ หนุ่มทำงานกับบริษัทหนึ่งที่ทำรายการวิทยุFM โดยมีหน้าที่คือประสานงานรายการ ไม่ว่าจะเป็นรับโทรศัพท์ผู้ฟังรายการ ดูแลเรื่องรายการในส่วนต่างๆ หรือบางที่ก็เปิดเพลงแทนDJ
    ผมเริ่มเข้าไปทำครั้งแรกเป็นฟรีแลนซ์ในการเปิดเพลง คือเมื่อมีคนขาดหรือลาก็จะตามผมให้ไปเปิดเพลงแทน เท่าที่จำได้คือชั่วโมงละ21บาท มันเป็นงานแรกที่ผมภาคภูมิใจ ในสมัยนั้นการเปิดเพลงในสถานีวิทยุจะเป็นการเปิดเพลงจากแผ่นเสียง ซึ่งในยุคนี้ไม่ค่อยได้เห็นแล้วกลายเป็นของหายากไปสะแล้ว
    ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพลงสากลในยุค60-80 เป็นเพลงสากล และส่วนมากก็จะเปิดในช่วงกลางคืนด้วย มันเป็นการเริ่มต้นการทำงานในสื่อวิทยุของผม ผมภาคภูมใจกับงานที่ผมทำ ภาคภูมิใจกับเงินที่หามาได้ด้วยตัวเอง แม้มันจะไม่มากมายอะไรแต่ผมก็ได้เริ่มต้นการใช้ชีวิตการเป็นผู้ใหญ่
    ต่อมาผมได้เริ่มมาทำประจำโดยเป็นประสานงานรายการเหมือนหนุ่มและเป๊ะ ที่จบและมาทำงานที่นี่ก่อนผม และด้วยรายการวิทยุมีตลอด24ชั่วโมง เราจึงมีการเข้าเวรในแต่ละวันเป็น3กะ คนละ8ชั่วโมงและมีการสลับกันหยุด ตอนนั้นผมประสานงานอยู่ที่FM.88 คลื่นสุดท้ายซ้ายสุด ซึ่งเป็นรายการวิทยุที่เปิดเพลงทั้งไทยและสากล โด่งดังมากๆในตอนนั้น หน้าที่ส่วนใหญ่ของเราก็รับสายผู้ฟังที่โทรเข้ามาคุยในรายการ ดูแลการเปิดสปอต ดูแลเรื่องเวลาการออกอากาศรายการ รวมถึงเปิดเพลงแทนในช่วงที่DJยังไม่มาหรือหยุด มันเป็นการเริ่มต้นการทำงานในสายงานวิทยุแบบจริงจัง โดยพี่แนนเป็นหัวหน้าคอยดูแลพวกผมอีกที
    ผ่านไปไม่ถึงปี บริษัทที่ผมทำก็มีการเปิดส่วนงานเทคนิค ผม หนุ่ม และเป๊ะจบสาขาอิเล็คทรอนิคส์มาจึงได้รับการคัดเลือกให้มาทำงานส่วนงานเทคนิค เราทำงานกันเป็นกะแบบเดียวกับประสานงานรายการหน้าที่หลักก็ดูแลเครื่องส่งออกอากาศวิทยุ อุปกรณ์ในห้องออกอากาศ และนั่นคือจุดเรื่องต้นอาชีพช่างเทคนิคระบบการออกอากาศวิทยุของผมและเป็นอาชีพที่ผมทำอยู่ในปัจจุบัน
    บริษัทนี้เหมือนโรงเรียนสำหรับสอนอาชีพผมเลยที่เดียว มีครูหลายท่านทีได้สั่งสอนในการทำงานผมมา ของเอ่ยชื่อดังนี้ IBคือเจ้านายและเจ้าของบริษัทBNTและMedia Plus เป็นคนที่นำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาสู่วงการวิทยุไทยบ้านเรา อาจารย์อาจที่เชี่ยวชาญระบบเครื่องส่งออกอากาศ พี่กิตติผู้เชี่ยวชาญระบบอากาศและอุปกรณ์การออกอากาศวิทยุ และพี่หนุ่ม(พรชัย)ที่เป็นหัวหน้า เป็นอาจารย์และพี่ที่ได้ให้โอกาสผมและนำผมเข้าสู่อาชีพนี้ กราบขอบคุณทุกท่านที่กล่าวมานี้ ถ้าไม่มีพวกท่านเหล่านี้คงไม่มีโจในวันนี้เช่นกัน
    อย่างที่บอกว่าที่นี้เหมือนดังโรงเรียนสอนอาชีพ ที่นี่ได้สอนความรู้ในเรื่องของการทำวิทยุทั้งหมด เป็นที่นำเทคโนโลยีใหม่ๆมาสู่วงการวิทยุไทย เป็นผู้ที่ริเริ่มการจัดรายการนอกสถานที่ และยังเป็นที่ผลิตบุคคลกรที่ทำงานด้านวิทยุที่มีคุณภาพมากมาย ผมภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสได้เข้ามาทำงานที่นี่
    อย่างที่ได้เล่ามาครับ ที่นี่เป็นที่ๆทำให้ผมเป็นผมจนถึงทุกวันนี้ มีครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนผมหลายท่าน ไม่ใช่ในเรื่องของการทำงานเท่านั้น ผมได้รับการสั่งสอนในเรื่องวินัย ความรับผิดชอบ รวมถึงได้คิดในการก้าวเดินไปข้างหน้าด้วย ยังมีเรื่องราวที่ผมอยากพูดถึงสำหรับโรงเรียนอาชีพของผมแห่งนี้ อยากเล่าถึงผู้มีพระคุณหลายท่านที่ทำให้ผมเติบโตมาในสายอาชีพนี้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะมาเล่าต่อไปในตอนต่อไปแน่นอน
    และนี่เป็นก้าวแรกในการเริ่มชีวิตการทำงานของผม ผมอาจเป็นคนโชคดีที่ได้เข้ามาในบริษัทที่ดี ที่นี่เหมือนครอบครัว เราอยู่กันแบบพี่น้อง มีเรื่องทั้งสุขทั้งเศร้าเรื่องฮามากมาย ติดตามชีวิตในการทำงานของผมต่อในตอนต่อไปน่ะครับ


กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนผมมาให้ผมเติบโตอยู่ในวงการนี้ได้จนถึงทุกวันนี้ และขอขมาในสิ่งใดก็ตามที่ผมได้ล่วงเกินทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ขอบพระคุณครับ


วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องสนุกในวัยเด็ก



    วันนี้ขอเล่าเรื่องเบาในช่วงวัยรุ่นของผมล่ะกัน ผมช่วงวัยรุ่นของผมก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่มีกิจกรรมสนุกสนานเฮฮา มีไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวของผมเอง กิจกรรมโดดเด่นในยุควัยรุ่นผมนั้นก็จะมีหลักๆคือ จักรยานBMX โรเลอร์สเก็ต และเบรคแดนซ์(หรือที่ยุคนี้เรียกว่าB Boy ซึ่งที่กล่าวมานั้นผมเล่นทั้งหมด
    ในเรื่องของจักรยานBMX ผมจะออกแนวผาดโผนเล็กน้อยคือจะขี่ชิวๆก็คงไม่ใช่ผม เลยต้องมีเล่นท่านิดหน่อย ทั้งยกล้อ กระโดด ซึ่งมันเป็นอะไรสนุกสุดๆ ผมเล่นสะตะเกียบหน้ารถBMXของผมหักคามือเลยที่เดียว ในกิจกรรมจักรยานของผมก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย มีกลุ่มเพื่อนไม่กี่คนที่ไปขี่เล่น ยกล้อ กระโดดเนินอะไรแบบนั้น
    ส่วนในกิจกรรมโรเลอร์สเก็ตนี่สิ ในยุคนั้นลานสเก็ตเป็นแหล่งที่วัยรุ่นรวมตัวกันอยู่ ลานสเก็ตใหญ่ๆที่มีชื่อเสียงก็คงเป็นเลอร์เธคสเก็ต แถวถนนศรีอยุธยา และลานสเก็ตที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ในยุคนั้นลานสเก็ตจะเป็นเธคไปด้วยในตัว มีการแข่งขันประกวดการเล่นสเก็ตและการเต้นเบรคแดนซ์ ในยุคนั้นถ้าวัยรุ่นคนไหนเล่นสเก็ตไม่เป็นนี่เชยมาก เหมือนวัยรุ่นสมัยนี้ที่ถ้าไม่เคยไปเดินCTWคงเฉยสุดๆ
    ผมและเพื่อนๆจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่เดินสายประกวดทั้งเต้นและการโชว์สเก็ต รางวัลอะไรก็ไม่ได้มากมายอะไร กลุ่มผมเน้นโชว์หญิงล้วนๆ การแข่งขันสเก็ตก็มีแบบความเร็ว และการเล่นท่าผาดโผน ในกลุ่มตัวผมเองจะเล่นแนวผาดโผน ประมาณวิ่งถอยหลัง หมุนตัว  กระโดดรวมถีงเต้นเบรคแดนซ์ขณะใส่รองเท้าสเก็ต ในกลุ่มผมจะเป็นกลุ่มที่ติดระดับ1ใน3ของการประกวดอยู่เสมอ
     ในกิจกรรมการเต้น ผมจะเป็นตัวหลักในการเต้นนำ สมัยนั้นผมจะมีฮีโร่ในการเต้นคือโซโล จากหนังเรื่องเบรคแดนซ์ ผมดูวีดิโอหนังเรื่องนี้เป็นสิบรอบเพื่อจดจำท่าเต้นเอามาลองเต้นเลยที่เดียว ในหลายๆครั้งที่ไปเต้นกันเฉยๆเพื่อโชว์สาวก็จะมีกระทบกระทั่งกับกลุ่มอื่นบ่อยๆ อารมณ์ประมาณโชว์ให้สาวชอบน่ะ ความสนุกสนานของผมคือการได้เต้นโชว์หรือเต้นประกวดตามที่ต่างๆ มันเหมือนผมได้อยู่อีกโลกนึง โลกที่ผมเป็นพระเอกอะไรแบบนั้นเลยที่เดียว
หนังเรื่องBreakDance : http://www.youtube.com/watch?v=e7U92fMBfoE
     ผมมานึกถึงตอนนั้นแล้วหัวใจเป็นสุข กับความสนุกสนานในวัยเยาว์ และยังนึกขำทุกครั้งเมื่อนึกภาพตอนเต้น และพูดกับตัวเองว่า ทำไปได้ยังไงฟ่ะ ความสนุกสนานในวัยเด็กมันเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนวิเศษสำหรับผมเหลือเกิน
   

เพื่อนๆลองนึกถึงสิ่งที่เราทำในวัยเด็กกันดูสิครับ ... แล้วคุณจะอมยิ้มและนึกขำกับสิ่งต่างๆยามเยาว์วัยของเรา
   

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

ความรักของSuperHero(ของผม)


   วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องความรักที่น่าประทับใจ เป็นเรื่องราวของการใช้ชีวิตคู่ที่แม้จะไม่โรแมนติกนัก แต่ผมเชื่อว่าเมื่อได้อ่านจนจบ คงมีคนที่จะบอกออกมาว่า อยากมีความรักแบบนี้จัง
   เรื่องราวความรักครั้งนี้คือเรื่องราวความรักของพ่อแม่ผมเอง ท่านเป็นแบบอย่างความรักที่ดีสำหรับผม และเป็นความรักที่ผมปราถนาอย่างยิ่ง ลองมาอ่านดูกันน่ะครับ
   พ่อผมเป็นคนกรุงเทพ ครอบครัวมีฐานะไม่ค่อยดีนัก พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อเป็นกำพร้าตั้งแต่เด็ก คุณปู่เสียชีวิตไปเหลือเพียงคุณย่าที่คอยเลี้ยงลูกๆอีก6คน พ่อผมเป็นพี่ชายคนโต พ่ออยากเรียนหนังสือมากต้องออกมาอยู่บ้านญาติเพื่อมาเรียนโรงเรียนวัด พ่อผมเรียนจบแค่ป.6
   แม่ของผมเป็นคนนครนายก ที่บ้านก็ฐานะไม่ดีเหมือนกัน บ้านแม่มีพี่น้องสองคน แม่เป็นคนเล็ก ด้วยฐานะที่ไม่ดีเท่าไร แม่จึงเรียนจบแค่ป.4 โดยสมัยนั้นมีความเชื่อว่า ผู้หญิงไม่ต้องเรียนสูงนักก็ได้ เดียวก็แต่งงานมีครอบครัว อยู่บ้านเลี้ยงลูกเท่านั้น
    ผมจะขอข้ามเรื่องชีวิตความลำบากของพ่อแม่เอาไว้ก่อน มีโอกาสจะมาเล่าอีกครั้งหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมจะเล่าวันนี้ คือความรักของพ่อและแม่ ที่คอยดูแลซึ่งกันและกันมา พ่อกับแม่มีนิสัยที่ไม่ได้เหมือนกันเลย พ่อเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบงานสังสรรใดๆชอบอยู่บ้านปลูกต้นไม้ ส่วนแม่ผมเป็นคนที่ชอบเที่ยวตามสถานที่ต่างๆเช่นน้ำตก ทะเล ภูเขา แต่ทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตกันมาจนแก่เฒ่า มีบางที่พ่อแม่ทะเลาะกัน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะได้ยินคำด่ากัน แม้จะมีพูดเสียงดังกันบ้างก็ตาม
   พ่อแม่ผมมีโรคประจำตัว ซึ่งก็เป็นไปตามวัยน่ะ พ่อเป็นโรคหัวใจ แต่แม่สิเป็นแยอะมาก ทั้งหัวใจ ความดัน ไต เบาหวาน มีครบเลยที่แม่ผม ทั้งคู่ต่างดูแลกันและกันเป็นอย่างดี และด้วยที่แม่เป็นหลายโรคมาก ก็จะมีการเข้าโรงพยาบาลบ่อยในช่วงอายุมากนี้ มีหลายครั้งที่แม่ต้องนอนโรงพยาบาล ซึ่งทุกครั้งพ่อผมจะไปดูแลแม่เสมอ
   ในช่วงหลังๆแม่มักมีอาการไม่ดีบ่อยและต้องเข้ารักษาที่โรงบาลที่ละหลายวัน บางครั้งเกือบเดือนเลยที่เดียว ทุกครั้งพ่อผมจะเป็นคนไปอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล ไปตั้งแต่เช้าและกลับช่วงเย็น ทั้งๆที่พ่ออายุมากแล้วและต้องทานยาเป็นประจำต้องพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์ แต่พ่อก็ไปหาแม่ที่โรงพยาบาลทุกวันไม่มีเว้น คอยไปคุยอยู่เป็นเพื่อนแม่ตลอด ด้วยเหตุผลคือแม่จะได้ไม่เหงาจะได้มีกำลังใจ
   อย่างที่บอกว่าแม่เป็นหลายโรคมาก ในช่วงที่อยู่บ้านก็ยังต้องมีฉีดยามีถังออกซิเจนมีอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นเบื้องต้นในการดูแลแม่ พ่อจะคอยดูแลแม่อยู่เสมอ คอยบอกเรื่องการกินอาหารเพราะแม่ชอบกินอาหารรสจัด ซึ่งไม่ดีต่อไตและสุขภาพ
   ในช่วงที่แม่มีอาการหนัก ต้องเข้ารักษาตัวในห้องICUและCCU พ่อจะคอยอยู่ข้างๆแม่เสมอ พ่อไม่เคยนึกรังเกียจที่จะเช็คตัวหรือทำความสะอาดให้แม่ ลองนึกถึงตายายที่อยู่ดูแลกันในช่วงยามเจ็บป่วย แม้จะเป็นเรื่องเศร้าแต่ในความเศร้านั้น กลับมีเรืองที่น่าประทับใจแฝงอยู่ พ่อไปหาแม่ที่โรงพยาบาลทุกวันคอยพูดคุยและให้กำลังแม่เสมอ ช่วงที่แม่ยังทานอาหารได้ อาหารที่เอามาให้ทานมักจะเป็นอาหารจืดๆ ซึ่งแม่ผมไม่ชอบเลย พ่อก็จะกินให้แม่ดูว่าก็กินได้นี่ แม้อาหารจะไม่อร่อยแต่ก็ต้องกินเพื่อร่างกาย
    แม่เคยพูดว่าไม่ไหวแล้ว ทรมาน พ่อมักจะบอกให้อดทน ภาพที่ผมมักเห็นตอนแม่อยู่โรงพยาบาลคือ พ่อคอยนวดตามแขนขาให้แม่ จับให้แม่พลิกตัวบ้างเพราะแม่ลุกไปไหนไม่ได้แล้ว คอยเช็คหน้าเช็คตาให้แม่ หวีผมให้แม่ ทาแป้งให้แม่
   ตลอดเวลาที่แม่รักษาตัวในโรงพยาบาล จะมีพ่ออยู่ข้างๆเตียงแม่เสมอ จนวันที่แม่ผมเสียชีวิต .... แม้ผมจะไม่เคยเห็นน้ำตาพ่อเลยก็ตาม แต่ผมรู้สึกได้ว่าพ่อเสียใจแต่พ่อก็บอกผมว่า ให้แม่ไปแบบนี้ล่ะดีแล้ว แม่จะได้ไม่ต้องทรมานอีก
    ผมได้เห็นความรักที่พ่อแม่มีให้กัน ต่อสู้และอดทนมาด้วยกันไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ ดีใจหรือเสียใจ ทั้งคู่อยู่ดูแลกันจนลมหายใจสุดท้าย คำบรรยายใดๆคงไม่อาจบอกได้หมดถึงสิ่งที่ผมได้เห็นได้รับรู้ ผมรู้แต่เพียงว่า ผมอยากให้ครอบครัวผมดูแลกันแบบที่พ่อดูแลแม่ รักกันจนวันสิ้นลมหายใจ
    ทุกวันนี้ ผมยังเห็นพ่อคุยกับรูปของแม่เสมอ พ่อมักจะยืนคุยกับรูปของแม่และเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง เหมือนว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่รู้หรอกว่าพ่อรู้สึกยังไงหรือแม่จะได้ยินที่พ่อพูดไหม แต่สิ่งที่ผมรับรู้ได้คือความรัก ความรักที่พ่อมีให้แม่และผมก็เชื่อว่า หากสลับกันแม่ก็คงจะดูแลพ่อเช่นเดียวกับที่พ่อทำ


การได้พบและรักกันนั้นว่ายากแล้ว แต่การรักษาความรักนั้นเอาไว้ยิ่งยากกว่า ผมอยากให้ทุกๆท่านที่ได้อ่านเรื่องนี้ ได้เห็นมุมมองในการรักษาความรักของกันและกัน การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน บอกรักกันทุกวันน่ะครับ ก่อนจะไม่มีโอกาสได้บอกอีก

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

ความผิดพลาดครั้งแรก


   ในชีวิตที่ผ่านมา ผมทำอะไรผิดพลาดไว้มากมาย แต่เมื่อผมล้ม ผมจะพยายามลุกขึ้นมาแล้วบอกตัวเองเสมอว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ผมยึดถือคำพูดนี้มาตลอด มันทำให้ผมมีกำลังใจ ทำให้ผมไม่ยอมแพ้อะไร แม้นั่นจะเป็นโชคชะตาหรือด้วยอะไรก็ตาม
    หลายครั้งที่เจอเรื่องรุนแรงในชีวิต ผมจะตะโกนท้าทายฟ้าว่า....ทำได้แค่นี้เองเหรอ มันไม่ใช่คำท้าทายจริงจังอะไร แต่มันเป็นคำพูดที่จะเตือนตัวเองว่า เรื่องแค่นี้ผมต้องผ่านไปได้แน่ ลองมาอ่านการผิดพลาดครั้งแรกของผมกัน
    ความผิดพลาดครั้งแรกที่ผมจดจำได้ดีคือการถูกรีไทร์ ต้องบอกก่อนเลยว่าผมเป็นคนที่มีผลการเรียนระดับกลางๆมาตลอด ตั้งแต่ประถมจนจบมัธยม ในที่แรกเลยผมชอบศิลปะมากและอยากเข้าเรียนต่อที่ช่างศิลป์ แต่ทางบ้านแน่ะนำให้เรียนสายช่างกลจะดีกว่า จะได้จบออกมามีงานทำแน่นอน ซึ่งผมเองไม่อย่าเรียนเลย และเป็นคนที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษเอาเลยจึงเลือกจะเรียนศิลปะ แต่แม่ผมบอกว่าเรียนอิเล็คทรอนิคส์สิ เลขกะภาษาอังกฤษน้อยมาก ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆว่าอิเล็คทรอนิคส์คืออะไร (พอเรียนจริงๆทั้งเลขทั้งอังกฤษเพียบ)
    และจากการโดนบังคับให้มาสอบโรงเรียนอาชีวชื่่อดังย่านลาดพร้าว ทำให้ผมแกล้งทำข้อสอบมั่วๆ ข้อสอบ100ข้อ ผมใช้เวลาทำแค่10นาที อย่างที่คาดคือสอบไม่ผ่านครับ แต่อย่าคิดว่าจะรอดน่ะ..ที่นี่มีให้สอบใหม่ทันทีจนกว่าจะผ่าน ที่สุดผมก็เลยต้องเรียนอิเล็คทรอนิคส์
   เรื่องโดนรีไทร์เกิดกับผมตอนผมจบปวช.แล้วเข้าเรียนระดับ ปวส.ต่อเลย โดยมีเพื่อนที่เรียนปวช.ด้วยกันจำนวนมากเรียนต่อพร้อมกัน ตอนนั้นผมจะมีเพื่อนสนิทที่มักไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมากๆ เพื่อนคนนี้ชื่อเอ เอเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาดี เรียกว่าหนุ่มHotเลยก็ว่าได้ มีสาวๆมากรีีดแยอะ ผมเองก็เลยได้ส่วนบุญจากความHotของเพื่อนไปด้วย
   ผมและเอเป็นคนชอบเที่ยว กิน ดื่มเหมือนกัน ตอนเรียนปวส.ปี1ผมและเพื่อนจะแถบไม่ได้เข้าเรียนกันเลยที่เดียว เราจะอยู่ตามร้านแถวโรงเรียน เซ็นทรัล และไปตามมหาวิทยาลัยเพื่อหลีสาว กิจวัตประจำวันตั้งแต่เช้าของเราคือ มาร้านชื่อcoconut ซึ่งเป็นร้านขายอาหารเครื่องดื่ม กาแฟอะไรแบบนั้น ผมและเพื่อนก็จะสิงสู่อยู่ที่นั่นในช่วงเช้า สายๆก็ไปร้านอาหารตามสั่งหรือตามโรงเรียนพาณิชย์ มหาวิทยาลัยหรือห้างเพื่อรับแอร์และชมวิว คงมีคำถามว่าแล้วไม่เรียนกันเหรอ....เรียนครับ เข้าห้องเรียนบางนิดหน่อย เข้าไปก็ชวนเพื่อนคุยให้แกล้งอาจารย์
   สิ่งที่ผมและเอชื่นชมคือเหล้า กินกันทุกวัน ทุกเวลา ทุกสถานที่ จนผมไม่แน่ใจว่าที่ไหลอยู่ในเส้นเลือดมันคือเลือดหรือเหล้า ถัดมาจากเหล้าก็จีบสาวซึ่งผมก็อาศัยเอนี่ล่ะครับที่หน้าตาหล่อ มีสาวๆเป็นกลุ่มเอกับผมก็จะเข้าไปคุยด้วย อาศัยที่เอหล่อสาวๆก็อยากคุยด้วย ถ้าเฉพาะเอาหนังหน้าผมเข้าหาสาว ผมว่าสาวๆจะวิ่งหนีกันสะมากกว่า
   และจากการที่เราเอาแต่กินกับเที่ยวอย่างที่บอกไปแล้ว ทำให้เราทั้งคู่ไม่มีเวลาเรียนในห้องและถูกตัดสิทธิ์เข้าสอบหลายวิชา โดยในเทอมแรกผลการเรียนของผมแย่มากและเกรดออกมามหัศจรรย์มากด้วย ไม่รู้ได้เกรดมาได้ไงคือ 0.60 อาจเป็นเพราะมีบางวิชาที่ผมได้เข้าสอบ และแน่นอนเอ เพื่อนรักของผมก็ไม่แตกต่างกันนัก
   ผ่านเทอมแรกไปเรียนเทอมสอง อย่าคิดน่ะครับว่าเกรดที่ออกมาจะทำให้ผมสำนึก ผมยังทำตัวเช่นเดิม กินเที่ยว และกินเหล้าจนแทบไม่ได้เข้าเรียนเลย เรายังคงวนเวียนตามห้างและสถานที่ที่มีสาวอยู่เหมือนเดิม เมื่อถึงวันสอบกลางภาคและปลายภาค ไม่ต้องบอกคงรู้นะครับว่าผมและเพื่อนไม่มีสิทธิ์สอบแยอะแค่ไหน
   และแล้วผลการเรียนก็ออกมา เกรดเฉลี่ยผมแค่0.36และเพื่อนผมก็มีสภาพเดียวกัน และที่แย่กว่านั้นคือเราโดนรีไทร์เพราะเกรดเฉลี่ยไม่ถีงเกรดที่กำหนด ผมกลับบ้านไปแบบกลัวๆ ไม่รู้จะบอกพ่อแม่ยังไงแต่สุดท้ายก็ต้องบอก พ่อกับแม่ผมท่านก็มีดุบางแต่ท่านจะสอนจะมากกว่า ว่าอนาคตจะเป็นไงถ้าจบแค่ปวช.และคำสอนอีกมากมาย ท่านอยากให้ผมปรับตัว...แม่ร้องไห้และขอผมว่า ให้ผมตั้งใจเรียนได้ไหม ให้จบปวส.และจะเรียนต่อหรือไม่ก็จะไม่ว่าอะไรอีกเลย
    ผมรู้สึกว่าผมทำผิดมากๆที่ทำให้พ่อแม่ผมเสียใจ มันเป็นความผิดพลาดที่ผมเป็นคนทำกับตัวผมเอง ผมบอกตัวเองว่าผมจะเรียนให้จบปวส.อย่างที่รับปากแม่ไว้ ความผิดพลาดครั้งแรกของผมเกิดจากความสนุกและหลงระเริงของตัวผมเอง ทั้งๆที่แค่ผมเข้าห้องเรียน และไปสอบ ผมก็สามารถผ่านไปได้แบบสบายๆแต่ผมกลับไม่ทำ ผมกลับไปเรียนที่อาชีวเดิม เพื่อนๆที่เคยเรียนด้วยกันขึ้นปี2กันหมด เหลือไว้แต่ผมและเอ ใช่ครับผมและเอกลับมาเรียนต่อและเราอยู่ห้องเดียวกันอีก และยังเป็นคู่แสบเหมือนเดิม แต่คราวนี้..เราเข้าเรียน และเรียนผ่านด้วยเกรดเฉลี่ย2กว่า แม้เรายังจะมีเที่ยว มีเล่นบ้าง แต่เราก็เรียนจนจบปวส.มาได้
   อย่างที่ผมบอกไว้ตอนต้นครับ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ผมทำตัวผิดพลาดไปและผมก็แก้ไขตัวเอง ทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราพยายาม และการผิดพลาดของผมครั้งแรกนี้เป็นบทเรียนที่ผมเอาไว้สอนตัวผมเองเสมอ ผิดแล้วเริ่มใหม่ได้ ขอแค่อย่ายอมแพ้

ยังมีเรื่องราวต่อจากนี้อีกมากที่ผมอยากเล่า มันเป็นการเล่าประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา และอาจเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับใครบางคน คอยติดตามอ่านกันต่อน่ะครับ

ปล. ถ้าเอได้มาอ่าน ก็ขออนุญาติที่เอ่ยถึงไว้ณ.ที่นี้ด้วยนะครับคุณเพื่อน

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

ปลดแอก

 


   เพื่อนๆเรียกผมว่าโจ ผมชื่อจริงว่า อนันต์ ชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ชื่อ น้อง ส่วนชื่อโจเป็นชื่อที่อาผมตั้งให้ ซึ่งชื่อนี้มาจากชื่อนักมวยชื่อ โจ กาเซีย ตามที่ได้ฟังมา เป็นนักมวยที่เก่งมากๆในยุคนั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่าหน้าตาผมออกลูกครึ่งหรืออย่างไรอาผมถึงตั้งชื่อให้ว่าโจ พ่อแม่หรือญาติๆผมก็จะเรียกผมว่าโจมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ผมก็ยังแทนตัวเองว่าน้องอยู่เสมอ จนถึงทุกวันนี้
   ครอบครัวผมแรกเริ่มจะมี พ่อ แม่ และพี่ชายผม และผม พ่อแม่จะเลี้ยงผมกับพี่ชาย(ชื่อพี่หนึ่ง)มาคนละแบบ พี่หนึ่งจะถูกเลี้ยงมาให้เป็นผู้นำ คอยดูแลน้อง มีระเบียบวินัย ดูแลสิ่งต่างๆในบ้าน ซึ่งผิดกับผมที่ถูกเลี้ยงมาแบบน้องคนสุดท้อง ที่ทำไรก็ได้ ตามใจ(แบบมีขอบเขต) ไม่มีกรอบความคิด ดังนั้นเราพี่น้องจึงแตกต่างกันมาก ทั้งในด้านความคิดและการใช้ชีวิต 
   ผมเติบโตมาในชุมชนแอดอัดหรือที่เรียกว่าสลัม เป็นชุมชนกิ่งเพชร อยู่แถวถนนเพชรบุรี เด็กๆในชุมชนโดยทั่วไปก็จะออกซ่าๆเกเรนิดๆ แต่ที่บ้านผมจะมีกฎเหล็กคือ ห้ามออกนอกบ้านเวลากลางคืน ห้ามสูบบุหรี่หรือสิ่งเสพติด ซึ่งผมและพี่ไม่กล้าแหกกฎเลยเพราะพ่อดุมาก และด้วยกฎที่พ่อตั้งนี่ล่ะ ทำให้ผมและพี่ไม่ติดยาและทำตัวไม่ดี 
   อย่างที่บอกว่าผมเติบโตมาในสลัม ซึ่งจะเป็นแหล่งรวมอบายมุขทุกชนิด ไม่ว่าจะยาเสพติด การพนัน ลักขโมย และการทะเลาะวิวาท แต่ผมและพี่หนึ่งรอดสิ่งเหล่านั้นมาได้ด้วยกฎของพ่อ แต่ใช่ว่าผมจะเรียบร้อยน่ะ ผมนี่ก็ตัวแสบของกลุ่มเหมือนกันเวลาอยู่นอกบ้าน มีรับดูต้นทางให้วงไพ่ ต้นทางคอยดูตำรวจว่าเข้ามาในชุมชนไหม รวบกลุ่มกะเพื่อนๆซ่าไปตามซอยต่างๆแถวนั้นและอื่นๆอีกมากที่พูดไม่ได้
   ผมเป็นคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มและเล็กที่สุดในคนอายุเท่าๆกัน ผมจึงโดนรังแกจากคนที่ตัวโตกว่าหรืออายุมากกว่า มักจะโดนเรียกว่าไอ้เตี้ยเสมอๆ มีอยู่วันนึงเล่นทอยเส้นกะเพื่อนๆแถวนั้น ก็เกิดทะเลาะกะเพื่อนที่เล่นด้วยกัน ผมจำไม่ได้แล้วว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่จำได้ดีที่เขาตบหัวผมแล้วเรียกผมว่าไอ้เตี้ย เราด่าว่ากันอยู่พักนึงก็มีการลงไม้ลงมือ ด้วยผมที่ตัวที่เล็กกว่าทำให้สู้กำลังเขาไม่ได้เลย ที่สุดผมก็ทุ่มสุดตัวเข้ากอดที่ตัวเขาแล้วกัดที่บริเวณลำตัวอย่างเต็มแรง เป็นผลครับ...เขาหยุดทุบผมและร้องลั่น ผมกัดอยู่อย่างนั้นสักครู่ แต่ในตอนนั้นมันเหมือนนานมาก จนเขาล้มลงและมีผู้ใหญ่มาห้าม
   เขาร้องไห้เสียงดัง มีผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆมาห้าม ผมจึงปล่อยเขา ผู้ใหญ่ที่มาห้ามเปิดดูใต้เสื้อที่โดนผมกัด ผมเห็นชัดเจนเลยว่าเป็นรอยฟันผมเข้าไปมีรอยแดงมีเลือดออกซิบๆ ผมตะโกนดังลั่นว่าอย่ามาแกล้งกูอีก อย่ามาว่าเรียกกูเตี้ย ตั้งแต่นั้นมาผมกลายเป็นโจหมาบ้า รู้จักกันไปทั่วแถวนั้น ไม่มีใครกล้ามาแกล้งผมอีก ไม่มีคนเรียกผมว่าไอ้เตี้ยอีกเลย หลังจากนั้นนานพอสมควร ผมกับคนที่มีเรื่องก็ได้คุยกันอีกและขอโทษขอโพยซึ่งกัน เขาเปิดรอยกัดที่ลำตัวให้ดู มันเป็นแผลตามรูปฟันผมและเป็นแผลเป็นติดตัวเขาเลย
    ยังครั้ง..วีรกรรมสร้างชื่อผมยังมีอีกแยอะ อย่างอีกครั้งที่โรงเรียน จำคราวๆว่าไม่น่าจะเกินม.1 ที่โรงเรียนมีโต๊ะปิงปองอยู่4-5โต๊ะ ก็จะมีการเอาไม้ปิงปองไปจองกันไว้ ผมกับเพื่อนก็เอาไม้ปิงปองไปวางไว้เพื่อจองเช่นกัน วันนี้มีรุ่นพี่มาเล่นโต๊ะที่ผมจอง แถมโยนไม้ปิงปองผมไว้กะพื้นแถวๆนั้น ผมกะเพื่อเดินเข้าไปโวยวายกะรุ่นพี่ เขาบอกว่ากูมาก่อน จองไรกูไม่สน ไปไกลๆกูเลยไอ้เตี้ย และเริ่มโต้เถึยงกันรุนแรง รุ่นพี่ผลักผมและเพื่อนจนที่สุด จังหวะนึงที่ผมเอาไม้ปิงปองฟาดหน้ารุ่นพี่คนนั้นไปเต็มแรง ทำเอาปากกะจมุกแดงไปเลย ผมจำได้ว่าผมกระโดดขึ้นโต๊ะปิงปองแล้วโดดต่อยใส่รุ่นพี่คนนั้นอย่างแรง สรุปว่าเจ็บทั้งกลุ่ม ผมเหรอครับ..เจ็บสิครับ แดงทั้งตัวจากการต่อยกัน ปากแตกเจ้อ คุณครูมาและว่ากล่าวรุ่นพี่ที่ทำรุ่นน้องตัวเล็กๆแบบผม ตั้งแต่นั้นผมก็มีชื่อในโรงเรียนว่าเป็นตัวแสบ ทั้งๆที่ผมแค่พยายามปกป้องตัวเองเท่านั้น
    ทั้งหมดเพราะผมไม่อยากโดนแกล้ง คนที่ไม่สู้ก็จะโดนแกล้งอยู่ร่ำไป มีเพื่อนผมที่เคยโดนแกล้งเพราะเขาอ้วน เขาอยู่กลุ่มเดียวกะผม ตั้งแต่มีเรื่องคราวนั้นผมและเพื่อนๆก็ไม่โดนแกล้งอีก มันเหมือนพวกเราได้ปลดแอกเลยที่เดียว
    นี่เป็นวีรกรรมแสบๆของเด็กตัวเล็กๆแบบผมในช่วงม.ต้น ยังมีเรื่องแสบๆซ่าๆอีกแยอะครับ หากมีโอกาสผมจะมาเล่าอีกน่ะครับ 

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

ดอกฟ้ากะหมาวัด ตอนเธอคือนางฟ้าของผม

 
   จากวันที่ผมจบม.3 ต่างก็แยกย้ายกันไปศึกษาต่อ ผมและปูเป้ไม่ได้ติดต่ออีกเลย ผมไม่ทราบแม้แต่ที่อยู่ของเธอ ความรู้สึกผมตอนนั้นเหมือนโลกมันมืดหม่น ในช่วงนั้นผมก็กำลังย้ายบ้านจากแถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มาแถวรามอินทราซึ่งมันดูไกลกันมาก ครอบครัวเรายุ่งๆเพราะต้องมีการย้ายข้าวของต่างๆ ตัวผมเองก็เข้าเรียนที่ใหม่ เป็นโรงเรียนอาชีวะแถวๆแยกลาดพร้าว การเริ่มชีวิตใหม่ เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ผมหมดหวังที่จะได้เจอปูเป้แล้ว ....
   ในสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ทำให้ผมผ่อนคลายความเสียใจไปได้พอควร การเริ่มต้นใหม่ในโรงเรียนอาชีวะ มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก ผมมีเพื่อนใหม่ที่สนิทกันมีหลายคน ซึ่งจะมาเล่าเรื่องวีรกรรมของเหล่าเพื่อนพ้องของผมในภายหลัง
    ผมกับเพื่อนจะเป็นพวกเรียนกลางๆ ชอบเที่ยวมากกว่า ตอนนั้นมีห้างเซ็นทรัลเปิดใหม่แถวแยกลาดพร้าว ซึ่งแน่นอนผมกับเพื่อนไปเดินตั้งแต่ห้างเปิดวันแรก นั่นจึงกลายเป็นที่โปรดของผมและเพื่อน เราไปเดินกันทุกวันเดินจนแทบจะพูดได้ว่า ไม่มีพื้นที่ตรงไหนที่ผมกับเพื่อนไม่เคยเหยียบเลย และนั่นเป็นเหตุให้ผมเจอกับปูเป้อีกครั้ง
    ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบังเอิญหรือพรหมลิขิตดี วันหนึ่งผมไปเดินเซ็นทรัลลาดพร้าวเหมือนปกติเช่นทุกวัน เดินชมโน้นนี่ ดูร้านเสื้อผ้าและคนขายน่ารักๆไปเรื่อย และสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ผมเห็นปูเป้...เธออยู่ในชุดเครื่องแบบพนักงานร้านเสื้อผ้าชื่อดังสมัยนั้น ผมไม่อยากเชื่อสายตาผมเลยว่าเป็นเธอจริงๆ ผมเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นเป็นสิบรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นปูเป้จริงๆ เธอยังดูสวยและดูดีเหมือนเดิม แม้จะดูว่าผอมไปสักนิด
    อาจคิดว่าผมจะเข้าไปทักทายปูเป้เลยใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ครับ....ผมก็บอกไม่ถูกน่ะว่าทำไมผมไม่เข้าไปหาหรือทักทายเธอ เแต่ผมจำได้ดีว่าในวินาทีแรกที่เจอปูเป้ ผมขนลุก ตัวเย็นวาบ ตื่นเต้นและสับสนมากๆ อาการเหมือนเจอคนที่ชอบมากๆแต่ไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักน่ะ ผมเดินวนเวียนแถวร้านที่เธอทำงานอยู่2 3 วัน กว่าเธอจะหันมาเห็นผม
    วันนั้นผมก็ไปเดินวนเวียนดูปูเป้ที่ร้านตามปกติ และทุกครั้งจะมองมาจากระยะไกล ด้วยความบังเอิญหรืออะไรไม่ทราบ เธอหันมาฝั่งที่ผมยืนอยู่และเจอผมเข้า ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เธอเดินออกมาหาผม เธอยิ้มให้ผม คำแรกที่เธอพูดออกมาคือ "ขอโทษน่ะ... นันสบายดีไหม๊"
    แล้วเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง เธอขอโทษผมที่เธอจากไปโดยทิ้งไว้แค่จดหมาย1ฉับบ เธอบอกว่าเธอเองก็ไม่รู้จะทำไง แม่ไม่ยอมให้คบกัน และเธอเองก็ไม่ค่อยสบายต้องไปหาหมอเป็นประจำ จึงไม่สามารถจะมาเจอกันได้ และที่เธอมาทำงานที่ร้านก็เพราะที่เธอไม่สบายนี่ล่ะ ทำให้เธอไม่ได้เรียนต่อ มาทำงานยังมีหยุดทีละหลายวันเลย แต่เพราะน้าเธอรู้จักเจ้าของร้านจึงลาได้หลายๆวัน
     ผมยังไม่เคยบอกใช่ไหมครับว่าปูเป้เป็นโรคลูคีเมีย ที่ผมเคยเล่าว่าเธอเล่นพละไม่ได้ เป็นลมบ่อยน่ะ เธอเป็นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ร่างกายเธอจะอ่อนแอมาก โดนแดดสักพักก็จะเป็นลม เดินนานๆหรือทำไรหักโหมก็จะมีอาการเหนื่อยง่าย ผมรู้มาตั้งแต่เราเริ่มเป็นแฟนกันแล้ว เธอจะต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ จนระยะหลังมีการให้เลือดด้วย
    ผมไปหาเธอที่ร้านทุกวันเอาน้ำขนมไปฝากเธอเป็นประจำ หลังๆอาการเธอทรุดลงเรื่อยๆ ขาดงานบ่อยจนต้องออกจากงาน ผมได้รู้จักแม่เธอและไปหาเธอที่บ้านบ้าง ปูเป้จะเข้าๆออกๆโรงพยาบาลอยู่นาน จนวันนึงเธอมีอาการแย่ลง ต้องนอนโรงพยาบาลและให้เลือด ผมไปหาเธอแทบทุกวัน ผมรู้ว่าเธอคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก ผมอยากอยู่กับเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    ตลอดเวลาที่ปูเป้ป่วย ผมไปหาเธอแทบทุกวัน ไปพูดคุยเล่าเรื่องต่างๆให้เธอฟัง เธอนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอยังคงความสวยงามสำหรับผมเสมอ เธอบอกกับผมว่า ถ้าเราตายไปเธอไม่ต้องร้องไห้น่ะ ตอนนั้นน้ำตาผมเอ่อมาที่เบ้าตาแล้ว ผมอยากให้เธอหายป่วยแต่ผมทำได้แค่ยืนมองเธอและดูเธอจากไปเท่านั้น
    แล้ววันนั้นก็มาถึง ผมไปหาเธอที่โรงพยาบาลตามปกติ เธอมีอาการทรุดลงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เธอนอนนิ่งไม่ไหวติ่ง เธอหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ เธอตัวเหลืองและผอมมาก แม่เธอบอกผมว่า ปูเป้รอผมอยู่......ผมเดินไปจับมือเธอ ผมได้แต่มองหน้าเธอและพูดตลอดว่า นันรักเป้น่ะ ผมไม่รู้หรอกว่าเธอได้ยินผมไหม แต่สิ่งที่ผมเห็นจากใบหน้าเธอคือรอยยิ้มบางๆ ผมไม่รู้หรอกว่าผมคิดไปเองไหม แต่ผมเห็นรอยยิ้มนั้นจริงๆ ผมจับมือเธอจนลมหายใจสุดท้ายของเธอ
    ............................
    ผมชอบมองไปบนท้องฟ้า แล้วหวังว่าผมจะได้เห็นเธอ เพราะผมเชื่อว่าเธอไปเป็นนางฟ้าแล้ว และเธอจะเป็นนางฟ้าสำหรับผมตลอดไป



วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

ดอกฟ้ากะหมาวัด ตอนจากลา


  ในวันวาเลน์ไทม์ ผมกะปูเป้และเพื่อนๆกำลังสนุกสนานกะการกินขนมกับแปะสติกเกอร์ที่เสื้อให้กัน สติกเกอร์เป็นรูปหัวใจที่สมัยนั้นจะขายเป็นแผ่นในแผ่นจะมีสติกเกอร์รูปหัวใจหลายแบบ เป็นเงาเป็นเกล็ดแววๆ ผมกะปูเป้ก็ซื้อมาติดให้เพื่อนๆทุกคน ซึ่งวารีก็เป็นเพื่อนที่ผมติดให้ด้วย ในตอนที่ผมติดให้เพื่อนไปเรื่อย พอมาติดให้วารี...เธอก็ยิ้มๆแล้วบอกผมว่า นัน( ผมชื่ออนันต์)เราชอบแกน่ะ คำพูดประโยคนี้ทำเอาผมค้างไปเลยที่เดียว
   ผมไม่เคยคิดเลยว่าวารีที่เป็นเพื่อนผมจะมีความรู้สึกชอบผม วารีเป็นผู้หญิงสวยเปรี้ยว ทำผมสไลด์เก๋ๆ ที่ผมด้านซ้ายจะยาวมาปิดตานิดๆด้านขวาจะสั้นกว่า ผมยาวถึงท้ายทอย ซึ่งในสมัยนั้นดูเก๋มากทันสมัยสุดๆ เธอบอกชอบผมขณะที่กำลังติดสติกเกอร์ให้ แม้จะไม่ดังมากแต่ก็เพียงพอให้ปูเป้ที่อยู่ข้างๆผมได้ยิน ผมกะปูเป้หันมามองหน้ากันอย่างตกใจ จนวารีบอกว่า "เราแค่อยากบอกเฉยๆ เพราะใกล้จะจบกันแล้วจะไม่มีได้โอกาสบอก" เธอบอกต่อว่าไม่ได้คิดจะให้ผมเลิกกะปูเป้หรอก แต่เธอรู้สึกประทับใจผม ที่ผมมักคอยดุแลเอาใจใส่ปูเป้อยู่เสมอ เธออยากให้มีคนเอาใจใส่เธอแบบนี้บ้าง
   ในวันวาเลน์ไทม์นั้น ก็มีหนุ่มๆหลายคนมาให้ดอกไม้ปูเป้ มาติดสติกเกอร์ให้ มีเอาขนมมาให้แบบมากมาย แน่ละก็เธอเป็นสาวสวยประจำโรงเรียนนี่ ผมรู้สึกภูมิใจน่ะที่มีคนชอบแฟนผมแยอะขนาดนี้ แต่เธอกลับเลือกคบกะคนอย่างผม มันน่าภูมใจสุดๆเลย
   จากเหตุการณ์ในวันวาเลน์ไทม์นั้น ทำให้ผมกับวารีมีระยะห่างกันมากขึ้น แต่เราทั้งกลุ่มก็ยังไปกินข้าวช่วงพักกลางวันกันอยู่ แต่ผมและวารีคุยกันน้อยลง อาจเป็นเพราะเราทั้งคู่ต่างรู้สึกไม่รู้จะวางตัวยังไงด้วย แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
   และแล้วก็ถึงวันที่จบการศึกษา ผมและปูเป้ยังคงไปไหนมาในตลอดจนวันสอบวันสุดท้าย ผมไม่อยากให้ถึงวันนี้เลย เพราะผมอาจไม่ได้เจอปูเป้อีก อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่าแม่ของปูเป้ไม่อยากให้มีแฟน เวลาปูเป้อยู่บ้านในวันเสาร์-อาทิตย์ ผมจะโทรไปคุยกะปูเป้โดยอ้างเรื่องการบ้านเสมอ แล้วนี่ถ้าจบไปแล้วผมอ้างอะไรได้อีก ในวันสุดท้ายก็มีการเขียนที่เสื้อนักเรียนตอนจบและสมุดเฟรนด์ชิพ ผมเขียนที่เสื้อปูเป้ว่า เราจะรักกันตลอดไป เป็นข้อความเดียวกับที่ปูเป้เขียนที่เสื้อผม
   ในวันนั้นเราต่างคนต่างกลับเพราะน้าของปูเป้มารับ และนัดกันอีกทีว่าจะเจอกันวันรับสมุดพก ในช่วงระหว่างนั้นผมก็ยังโทรหาปูเป้เกือบทุกวัน จนถึงวันรับสมุดพก
   ในวันรับสมุดพก ผมไม่ได้เจอปูเป้อย่างที่คิด เธอได้ฝากจดหมายไว้ที่เพื่อนฝากมาให้ผม ในจดหมายมีข้อความเท่าที่จำได้ว่า เรารักเธอน่ะ แต่เราคงมาเจอเธอไม่ได้อีกแล้ว เราเสียใจที่ต้องจากกันแบบนี้ เราจะเก็บเธอไว้ในใจเราเสมอ
   นั้นคือข้อความสุดท้ายที่ผมได้รับจากปูเป้ ตอนนั้นผมจำได้ว่าผมร้องไห้ ผมรู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมต้องจากกัน ทำไมเราคบกันไม่ได้ ผมพยายามติดต่อปูเป้ทางโทรศัพท์หลายครั้ง แต่แม่เธอรับแล้วบอกว่าปูเป้ไม่อยู่ หรือกำลังหลับบ้าง และผมกับปูเป้ก็ไม่ได้คุยหรือเจอกันอีก
จน...ผมเรียนอาชีวะแห่งหนึ่งแถวลาดพร้าวแล้วบังเอิญได้เจอปูเป้อีกครั้ง

ปล.ยังมีต่ออีกนิด ผมจะกลับมาเขียนต่อวันพรุ่งนี้น่ะครับ


ดอกฟ้ากะหมาวัด ตอนแรก

   เรื่องนี้เกิดเมื่อตอนผมอยู่,ม.2 หลังจากผ่านช่วง Puppy Loveที่เคยเขียนเล่าไปแล้ว ผมก็ได้เจอสาวสวยที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน ม.2เหมือนกัน แต่คนละห้องกัน ผมอยู่ห้องม.2ข ส่วนเธอยู่ม.2ค และแล้วผมก็ตกหลุมรักเธอ เธอชื่อว่าปูเป้ เธอเป็นคนที่สวยมากเรียกว่าเป็นดาวโรงเรียนเลยก็ว่าได้ มีคนตามจีบเธอแยอะมาก ผมได้แต่เฝ้าแอบมองเธอทำโน้นนี่ ขนาดจะไปห้องน้ำผมยังเดินอ้อมเพื่อให้ผ่านห้องที่เธอเรียนก่อนไปห้องน้ำเลย(ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยทำแบบผม)
   อยากให้ลองนึกภาพน่ะครับ หนุ่มน้อยตัวเล็กๆผอมๆหน้าตาบ้านๆ ริอาจจีบสาวงามประจำโรงเรียน ขนาดที่เพื่อนสนิทผมเองยังพูดเลยว่า หมามองเครื่องบิน ครับ...ผมยอมรับเลยว่ามันเป็นอย่างที่เพื่อนพูด แต่ผมจะทำให้เครื่องบินลำนี้ลงมาจอดรับหมาให้ได้
   ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้อาย จึงไม่กล้าที่จะไปทักเธอตรงๆจึงใช้วิธีการให้เพื่อนแน่ะนำให้ จนได้เริ่มพูดคุยกะปูเป้ เราเริ่มสนิทกันเรื่อยๆจนเป็นแฟนกัน เพื่อนๆทั้งห้องเดียวกันและต่างห้องแปลกใจมาก ที่ผมกะปู้เป้เป็นแฟนกัน จะไม่แปลกได้ไง...มันเหมือนดอกฟ้ากะหมาวัดชัดๆ ดาวโรงเรียนเป็นแฟนกะผมนี่น่ะ ตัวผมเองยังไม่อยากเชื่อเลย และเหมือนจะเป็นพรหมลิขิต เราเลื่อนชั้นจากม.2คนละห้อง มาเป็นม.3ห้องเดียวกัน และแน่นอนเรานั่งคู่กัน แต่เป็นเกือบหลังห้อง 555
   ในช่วงนั้น มันเหมือนห้องเรียนเป็นสวรรค์ การได้มาโรงเรียนเป็นความสุขเหลือเกิน (เหมือนช่วงPuppy Love) ปูเป้จะมีน้ามารับเป็นบางวัน บางวันก็กลับเอง ผมจะยืนรอน้ามารับพร้อมปูเป้เสมอ หรือวันไหนไม่มาก็จนส่งเธอที่ป้ายรถเมล์ ผมไม่เคยไปส่งเธอที่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่า แม่ปู้เป้ไม่อยากให้มีแฟน เพราะงั้นจะให้แม่รู้ไม่ได้ ในช่วงนั้น..แค่ผมได้อยู่กะปูเป้ที่โรงเรียนก็มีความสุขสุดๆแล้ว ทุกวันอย่างให้เป็นวันเรียนไม่อยากให้มีเสาร์ อาทิตย์เลย
   ตลอด1ปีครบกัน มันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามากๆ ในวันสำคัญต่างๆเช่นวันวาเลน์ไทม์ ผมจะหาดอกไม้ที่เธอชอบมาให้ ปูเป้ชอบดอกกุหลาบสีขาว ซึ่งมันจะแพงและหายยากมาก และในวันวาเลน์ไทม์นี้เองที่มีเรื่อง คือจำเพื่อนที่ให้แน่ะนำให้ผมรู้จักกับปูเป้ได้ใช่ไหมครับ เพื่อนคนนั้นชื่อวารีเป็นเพื่อนผู้หญิงห้องเดียวกะปูเป้ตอนม.2 ผมรู้จักวารีได้เพราะวารีเป็นเพื่อนสนิทกะเพื่อนผมอีกที ไม่งงน่ะ คราวนี้ที่เป็นเรื่องก็คือ วารีชอบผม เธอมาบอกผมวันวาเลน์ไทม์ และที่สำคัญเธอมาบอกตอนผมอยู่กะปูเป้ด้วยนี่สิ
 

วันนี้ขอค้างคาไว้ตรงนี้ก่อนน่ะครับ ตอนต่อจะเขียนในวันพรุ่งนี้ครับ

 

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

Puppy Loveของผม


    ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยผ่านคำว่าPuppy Loveมาแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เคยมีผมว่าคุณแปลกๆน่ะ(อิอิ) เรื่องของผมก็ง่ายๆคลาสิกเหมือนทั่วๆไป เริ่มเมื่อตอนผมเรียนอยู่ ป.6ห้องข.โรงเรียนเอกชนแบบสหศึกษา คือมีทั้งชายทั้งหญิง ในห้องการมีการจัดโต๊ะเรียนเป็นคู่ ซึ่งคุณครูจะจัดให้ชายนั่งกะชาย หญิงนั่งกะหญิง ซึ่งน่าจะเป็นปกติแบบนี้ทุกๆโรงเรียน ผมเองตอนนั้นเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆแต่แสบทรวงได้ใจ(แซบมาตั้งแต่เล็กๆ) ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเพื่อนหญิงคนนึงในห้อง เธอดูน่ารักมากๆในสายตาผม เธอจะนั่งอยู่แถวกลางห้องและแน่นอนเด็กชายแบบผมต้องเป็นเด็กหลังห้อง ผมจำได้ติดตาจนทุกวันนี้ว่าเธอจะผูกผมม้าเป็นประจำ มีบ้างที่จะถักเปียมา นั่งตัวตรง สนใจสิ่งที่คุณครูเขียนบนกระดานดำ ผิดกับผมที่คอยแต่สนใจมองเธอตลอดเวลา
   เชื่อไหม๊ว่า ผมยังจำชื่อและนามสกุลของเธอได้จนทุกวันนี้ จำหน้าตาท่าทางที่เธอนั่งเรียนได้ติดตา มีเพื่อนผมอีก2คนที่แอบชอบเธอ หนึ่งในนั้นคือเตอร์เพื่อนสนิทผมเอง ผมและเตอร์มักจะพยายามหาเรื่องคุยกับเธออยู่เสมอ และด้วยที่เธอเป็นเด็กเรียบร้อยเรียนดี จึงเป็นข้ออ้างในการยืมการบ้านมาลอกเพื่อเป็นการตีสนิดและรอดพ้นจาการโดนตีที่ไม่ทำการบ้านด้วย เหมือนยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองสามตัว 
   ในที่สุดผมก็ได้เป็นคนที่สนิดกับเธอที่สุดในห้อง ซึ่งวิธีการก็อย่างที่บอกล่ะครับ ยืมการบ้านทุกวัน เวลาพักกลางวันก็ไปนั่งโต๊ะอาหารโต๊ะเดียวกัน และผมเองก็ย้ายจากเด็กหลังห้องมานั่งกลางห้องคู่กับเธอ โดยการซื้อสัมปทานโต๊ะข้างๆจากเพื่อนสาวเธอโดยการแบ่งขนมให้ทุกวัน แต่หลังๆแบ่งขนมให้บ้างไม่ให้บ้าง(อิอิ)
   ในช่วงเวลานั้น การได้อยู่ใกล้ๆเธอเป็นความสุขมากๆ ผมไปถึงโรงเรียนแต่เช้าทุกวันเพราะอยากเห็นหน้าเธอแต่เช้า บ้านผมไม่ห่างจากโรงเรียนนักจึงไปโรงเรียนแต่เช้าได้ ซึ่งแต่เดิมก็ไปตามปกติคือก่อนเคารพธงชาตินิดหน่อย ในวัยนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเป็นแฟนกันเป็นยังไง รู้แต่ว่าเราสนิดกันมาก ไปไหนมาไหนในโรงเรียนด้วยกันเสมอ เธอคือผู้หญิงที่ผมรู้สึกว่าชอบเป็นครั้งแรกในชีวิต 
   แต่ด้วยความเป็นเด็ก ก็ยังติดเพื่อน เล่นบอล ตีปิงปอง และอื่นๆอีกมากมายในกลุ่มเพื่อนชาย รวมทั้งตอนเย็นแม่เธอจะมารับเสมอเพราะบ้านเธออยู่ไกล จนค่อยๆห่างๆกันไปอีกทั้งผมติดเพื่อนมากขึ้นด้วย หลังจากจบป.6ห้องข. เธอก็เปลี่ยนห้องไปอยู่ห้องก.(กอไก่) เป็นม.1ห้องก. ส่วนผมเองเป็นคนที่สม่ำเสมอ เลยยังอยู่ห้องม.1ห้องข.ทำให้ห่างกันไปอีก ต่างคนต่างมีเพื่อนกลุ่มใหม่ แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมประทับใจและพูดได้เต็มปากเลยว่าชอบ ชอบแบบเด็กๆน่ะ มีขนมแบ่งกัน ไปไหนมาไหนในโรงเรียนด้วยกัน แค่นี้ก็มีความสุขสุดๆแล้ว


    ตั้งแต่จบม.3จากโรงเรียนมา ผมไม่เคยเจอเธออีกเลย แต่เธอยังคงอยู่ในความทรงจำของผมจนถึงทุกวันนี้ นี่ล่ะครับPuppy Loveของผม

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

เริ่ม....
   ผมคิดมาหลายปีแล้ว ที่จะเขียนเรื่องของตัวผมเอง ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เริ่มสักที.... จนมาถึงวันนี้ ที่ผมได้เห็นบล๊อกเพื่อนของภรรยาผม เขียนเล่าเรื่องต่างๆให้คนอ่าน แล้วผมก็บอกตัวเองทันที ว่านี่ล่ะ สิ่งที่ผมอยากทำ ต้องขอขอบคุณท๊อปมากๆ ที่ชี้ทางให้เพื่อจะได้เริ่มต้นสิ่งที่อยากทำอยากเขียนสะที 
   ในหัวผมมีเรื่องเล่ามากมายเหลือเกิน ไม่รู้จะเอาเรื่องไหนก่อนดีจัดลำดับไม่ถูกจิงๆ เพราะตั้งแต่เด็กจนอายุขนาดนี้ มีเรื่องเล่าและวีรกรรมมากมาย ทั้งดีและร้าย สนุกและเศร้า มันเป็นการยากมากสำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องงานเขียนแบบผม จะมาเขียนเล่าเรื่องแบบนี้ แต่ผมจะพยายามน่ะ ซึ่งผมคิดว่าเรื่องของผมหลายเรื่องเป็นอุทาหรณ์และแง่คิดในการใช้ชีวิต ให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและอาจเป็นข้อคิดได้บ้างไม่มากก็น้อย
   ในเรื่องที่ผมจะเล่าก็เป็นเรื่องการใช้ชีวิตทั่วๆไป แต่อาจไม่ค่อยปกติเท่าไรนักในบางเรื่อง ทั้งในเรื่องความรักที่แอบชอบเพื่อนในห้องเดียวกันตั้งแต่ป.6 การทำตัวแย่ๆในช่วงวัยเรียนอาชีวะ การเริ่มต้นการทำงานก่อนจะจบปวส. หรือการล้มอย่างไม่เป็นท่าในช่วงฟองสบู่แตกและความล้มเหลวในเรื่องครอบครัว และอื่นๆอีกมากมายที่ผ่านมาในชีวิต จนบางทีผมคิดว่า...จะมีคนที่เจออะไรแบบผมไหม 
   อย่างหัวเรื่องนี้ " เริ่ม " ก็จะเกริ่นนำคราวๆก่อน ถึงที่มาที่ไปในการทำบล๊อกนี้ ซึ่งผมคงเล่าตามอารมณ์ โดยไม่ได้คำนึงถึงช่วงเวลาก่อนหน้าหลังแต่อย่างใด....ผมคงเริ่มเรื่องด้วยเรื่องความรักแบบPuppyLove ล่ะกัน มันก็เป็นเรื่องทั่วๆไปของเด็กชายที่จะแอบชอบสาวน้อยในห้องเดียวกัน ก็พยายามเข้าไปใกล้ชิด พูดคุยกับสาวน้อยคนนั้น เป็นความรักที่ดีสดใส ความรักที่ดูน่ารักแบบเด็กๆ แต่จะเชื่อไหม...ผมยังจำชื่อและนามสกุลของเธอคนนั้นได้อย่างแม่นยำจนถึงทุกวันนี้ แต่ขอเล่าในครั้งต่อไปน่ะ เพราะนี่เป็นแค่บล๊อกเริ่ม......อิอิ
ปอลิง : ถึงอดีตเป็นไงแต่ปัจจุบันผมรักภรรยาผมที่สุด ^^