วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เขียนถึงพ่อ

   ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงคิดเหมือนผมที่ว่า พ่อคือฮีโร่ของเรา สำหรับตัวผมแล้ว พ่อ คือแบบอย่างที่ผมพยายามเดินตามท่านในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต ครอบครัว แม้แต่ทัศนคติ ผมมองพ่อเป็นซุปเปอร์ฮี่โร่ของผมเสมอ พ่อเก่งและไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ
   ตั้งแต่จำความได้ ผมจะเห็นพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว คอยดูแลปกป้องทุกๆคนในบ้าน พ่อจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดและชัดเจน แม้พ่อจะดูเป็นคนดุและเข้มงวด แต่ผมจะรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่กับพ่อ
พ่อเป็นแบบอย่างที่ตัวผมเองอยากเป็นได้เหมือนพ่อ และผมคิดว่ามีลูกๆอีกมากมายที่อยากเป็นแบบพ่อเหมือนตัวผม
   พ่อมักจะเล่าเรื่องของพ่อให้ผมฟังเสมอๆ พ่อเล่าว่า พ่อเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ต้องต่อสู้และดิ้นรนอย่างมากเพื่อให้มีอยู่มีกิน ในช่วงเวลาที่พ่อมีลูกๆคือผมและพี่ชาย ตอนแรกๆครอบครัวเรายังจนมาก เราอยู่ในชุมชนแอดอัดที่เรียกกันว่าสลัม เงินเดือนพ่อน้อย หลังจากเลิกงานปกติ พ่อแม่ต้องมาช่วยกันพับถุงเพื่อเอาไปขาย ทั้งพ่อและแม่ต้องอดทนอย่างมากเพื่อที่จะอยู่รอดและเลี้ยงลูกๆให้เติบโต มีหลายครั้งที่ต้องขายเลือด ซึ่งสมัยนั้นพ่อเล่าว่าไปขายเลือดให้แก่สภากาดชาด และได้เงินมาจำนวนนึง พ่อจะกำเงินไว้แน่นจนเหงื่อเปียกเงินที่กำไว้ เพราะกลัวเงินที่ได้มาจะหล่นหาย พ่อและแม่ช่วยกันทำงานต่างๆอย่างหนัก เพื่อให้ลูกๆได้มีกิน ต้องบอกว่าพ่อสร้างตัวจากไม่มีอะไรเลย จนมาถึงวันนี้ที่ถือได้ว่าพอมีพอกิน มีบ้านช่องที่ดินเป็นของตัวเอง นี่เป็นส่วนเล็กๆที่พ่อเคยเล่า
   พ่ออยู่กับแม่จนแก่เฒ่า จนวันที่แม่สิ้นลม ผมเห็นพ่อคุยกับรูปของแม่บ่อยๆ มีอะไรพ่อก็จะเล่าให้รูปแม่ฟัง เหมือนดั่งแม่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมรู้ว่าพ่อคิดถึงแม่ แต่พ่อไม่เคยบ่นว่าเหงาหรือรู้สึกไม่ดีให้ลูกๆฟังเลย พ่อจะเก็บเรื่องไม่สบายใจต่างๆไว้ในใจเสมอ พ่อเป็นคนที่เข้มแข็งมาก ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้แม้แต่ครั้งเดียว
   ผมมองตัวเองว่า ผมยังห่างไกลจากคำว่าพยายามเมื่อฟังเรื่องของพ่อ ผมยังต้องพยายามอีกมากที่จะไล่ตามรอยเท้าพ่อ พ่อเป็นฮีโร่ของผมเสมอ .......   ผมอยากบอกพ่อว่า ผมรักพ่อครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มุมมองความรัก


    เนื่องในวันแห่งความรักในวันนี้ ผมจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับความรักของผมให้อ่านกัน แต่เป็นเรื่องของมุมมองในความรักของตัวผมน่ะ
    ผมผ่านเรื่องราวความรักมาหลายครั้งหลายหน มีทั้งสุขและเศร้าแต่ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ยังเชื่อในความรักเสมอ ความรักทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง ในหลายครั้งที่ผิดหวังจากความรัก และมักมีเพื่อนๆคอยเตือนด้วยความห่วงใหญ่เสมอว่า เวลารักน่ะเผื่อใจไว้บ้าง ซึ่งก็คงจะหมายถึงเผื่อใจไว้สำหรับความผิดหวังนั่นเอง แต่ทุกครั้งผมจะบอกกับเพื่อนๆว่า เราไม่เผื่อใจหรอก เรารักก็จะรักให้เกิน100
    ในแนวความคิดของผมเรื่องความรักอาจจะขัดแย้งกับหลายๆคน เพราะสำหรับผมแล้วในการรักใครสักคน ผมจะไม่เผื่อใจเลยเพราะหากเผื่อใจแล้ว บางครั้งจะลังเลที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้แก่กัน และผมยังเชื่ออีกว่าการจะรักใครสักคนเราต้องมีใจให้อย่างเต็มร้อยหรือเกินร้อยไปเลย และเราจะทำทุกอย่างให้แก่คนที่เรารักอย่างไม่ลังเล เพราะผมไม่เคยเผื่อใจสำหรับผิดหวัง
    ในบางครั้งการทำอย่างเต็มร้อยของผมจะไม่สามารถทำให้ความรักนั้นสมหวังได้ ย่อมทำให้ผมเสียใจแน่ แต่ผมคิดว่าผมได้ทำอย่างเต็มทีและเต็มความสามารถแล้วไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า ยังไม่ได้ทำแบบนั้นแบบนี้ให้คนที่เรารัก ในเมื่อทำอย่างเต็มที่แล้วเขายังไม่รักก็ต้องยอมจริงๆ
    .ในวันนี้ก็เช่นกัน ผมมีความสุขที่มีคนที่ผมรักและรักผม ในทุกๆวันของผมจะไม่ลังเลเลยที่จะทำอะไรให้คนที่ผมรัก ผมบอกรักภรรยาผมอยู่เสมอ ผมอยากให้เค้ารู้ว่าตั้งแต่วันที่ผมเริ่มรักเค้าจนถึงวันนี้ ความรู้สึกที่มีให้ยังคงเหมือนวันแรกที่เริ่มรัก
      สำหรับผมแล้ว ความรักไม่มีการเผื่อใจ ไม่มีการลดลง รักก็คือรักและไม่มีช่วงโปรโมทชั่น ในเมื่อผมเลือกที่จะรักแล้ว ผมจะทำทุกอย่างให้คนๆนั้นรักผม รักในความรักที่ผมมีให้เค้าอย่างเต็มร้อยจริงๆ
     
   
   

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปาฏิหาริย์



    ปาฏิหาริย์ คำๆนี้น่าจะรู้จักกันทั่วไป และทุกคนอยากให้เกิดปาฏิหาริย์กับตัวเอง สำหรับผมแล้วปาฏิหาริย์เกิดกับผมบ่อยมาก อย่าอิจฉาผมเลยน่ะเพราะทุกคนก็ได้พบกับปาฏิหาริย์มาแล้วกันทุกคน บางคนอาจบ่อยกว่าผมก็ได้
    เริ่มปาฏิหาริย์แรกของผมก็การได้เกิดมาเป็นลุกของพ่อแม่ เป็นน้องของพี่ชายผม ลองนึกดูสิครับผมเกิดมาครบด้วยร่างกาย32 ซึ่งมีอีกหลายล้านคนในโลกที่มีไม่ครบสมบูรณ์ ผมถือว่าผมโชคดีสุดๆแล้ว มันเป็นปาฏิหาริย์ชัดๆ ไม่เพียงแค่นั้นผมยังเติบโตมาด้วยสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์อีกด้วย
     ยังครับ ปาฏิหาริย์ในชีวิตผมยังมีอีกแยอะ ไม่ว่าจะเติบโตมากับครอบครัวที่อบอุ่น ได้ใชีชีวิตที่มีความสุข ได้ทำได้เล่นในสิ่งที่อยากทำอยากเล่น เมือ่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผมยังมีครอบครัวแม้จะมีความไม่สมหวังในครอบครัวบ้าง ต้องสร้างครอบครัวใหม่หลายรอบ แต่ผมก็ได้มีโอกาสมีครอบครัวมีลูกๆที่น่ารัก มีคนที่รักผมและมีคนที่ผมรัก แบบนี้มันปาฏิหาริย์มากๆเลยน่ะครับ
     ทุกๆครั้งของปาฏิหาริย์ ย่อมต้องมาจากการกระทำด้วย หากเรารอแต่จะมีปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรเลย เราอาจต้องรอทั้งชีวิตหรืออาจไม่มีโอกาสได้เจอปาฏิหาริย์อีกเลย ผมเคยมีมุมมองว่าชีวิตนี้โหดร้ายกับผมเหลือเกิน ทำไมชีวิตผมต้องเจอกับอะไรร้ายๆมากมายนัก ต้องพบกับความผิดหวังและเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายๆครั้งผมรู้สึกว่าเหนื่อยและท้อเหลือเกินแล้ว อยากคิดฆ่าตัวตายก็เคยมาแล้ว
     แต่เมื่อวันนึงในช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุด ช่วงเวลาของความเป็นความตาย ผมกลับได้ยินเสียงลุกชายของผมอย่างปาฏิหาริย์ และนั่นทำให้ผมรอดตายและกลับมาเป็นผมได้ทุกวันนี้ หรือการที่ผมต้องเกิดครอบครัวที่สร้างมากับมือแตกแยกหลายครั้งหลายหน แต่ผมก็ได้พบกับคนที่พร้อมจะรักผม และยอมรับในชีวิตผมได้ แบบนี้ไม่เรียกว่าปาฏิหาริย์แล้วจะเรียกว่าอะไรได้
     สิ่งที่ผมผ่านมาในช่วงชีวิตผมได้พบกับหลากหลายเหตุการณ์ หลาหลายความรู้สึก หลากหลายผู้คน หรือแม้แต่เพื่อนๆทีได้พบได้รู้จัก จนวันนี้เป็นเพื่อนที่ผมคิดว่าดีที่สุดในชีวิตผมแล้ว ซึ่งบ้างคนไม่มีโอกาสมีมิตรแท้แบบผมเลย ทุกๆอย่างเริ่มจากได้ให้โอกาสตัวเองได้รู้จัก ได้พบ ได้เจอและสุดท้ายก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น
     ผมได้เห็นหลากหลายผู้คนที่ยอมพ่ายแพ้กับโชคชะตา กับชีวิตมันเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ผมอยากให้ผู้คนเหล่านั้นมองเห็นถึงปาฏิหาริย์ต่างๆที่ผ่านมาที่เกิดกับคนเหล่านั้น เพื่อให้เขาก็พยายามและต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไปให้ได้ ผมคิดเสมอว่าอุปสรรค์หรือปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวผม มันก็แค่บททดสอบบทหนึ่งเท่านั้น เรามีหน้าที่ที่ต้องทำและผ่านบททดสอบนั้นไปให้ได้ และสร้างปาฏิหาริย์ให้ตัวเอง
    และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเขียนเล่าเรื่องของผมไว้เป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้ที่กำลังเจอปัญหา กำลังท้อแท้ และกำลังสิ้นหวัง ว่าเราสามารถผ่านพ้นทุกๆปัญหาไปได้ เราสามารถเลือกจะเป็นแบบที่เราเป็น มีความสุขในแบบที่เราเลือก มันอยู่ที่เราจะทำอย่างไร มุมมองในการคิดของเราเป็นแบบไหน ผมเชื่อว่าหากเราคิดบวกไว้ เราจะผ่านไปได้แน่ๆ
    วันนี้ผมพบกับปาฏิหาริย์เรื่องครอบครัว ที่ได้พบกับคนที่ผมรักและคนที่รักผม และมีลุกๆที่น่ารัก สิ่งเหล่านี้ล่ะครับคือปาฏิหาริย์สำหรับผม


ขอบคุณทุกๆปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับผม และคนที่มอบปาฏิหาริย์เหล่านั้นให้ และผมก็อยากให้ทุกๆคนพบกับปาฏิหาริย์เช่นกัน

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

ครอบครัว



    ครอบครัว....คำๆนี้ ฝังอยู่ในใจผมมานานแล้ว ผมวาดฝันมาตลอดว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุข เช่นเดียวกับที่ผมได้รับความอบอุ่นมาตลอดจากพ่อแม่ เมื่อถึงเวลาที่ผมสร้างครอบครัวของผมเอง ก็คาดหวังอย่างมากที่จะเป็นให้ได้อย่างที่ผมได้รับมา ผมเริ่มต้นสร้างครอบครัวของผมเองเมื่ออายุ23ปี อาจมองดูว่าเด็กเกินไป แต่ผมคิดว่าผมพร้อมแล้วสำหรับการสร้างครอบครัว แต่แล้วครอบครัวที่ผมสร้างตอนนั้นก็พังลง แต่มันไม่พังเสียทั้งหมด ผมได้รับของขวัญที่แสนวิเศษมาด้วย นั่นคือลูกชายคนแรก ผมตั้งชื่อลูกชายผมว่าฮาร์ท และลูกชายคนนี้ล่ะที่ช่วยชีวิตผมไว้ในยามที่ผมสิ้นหวังที่สุด
    แม้ว่าครั้งแรกจะพังไม่เป็นท่า แต่ผมก็ยังที่จะไขว้คว้าที่จะสร้างครอบครัวให้ได้ ทุกครั้งผมจะพยายามที่จะทำให้ครอบครัวที่ผมสร้างมีแต่ความสุข แต่ก็ล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง ผมไม่โทษใครเลยนอกจากตัวผมเอง เพราะผมเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่กลับไม่สามารถประคับประครองครอบครัวให้อยู่ต่อไปได้ ผมพยายามหาคำตอบในตัวเองเสมอว่า ทำไมครอบครัวที่ผมสร้างถึงพังลง แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ชัดเจนเสียที แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นชัดเจนจากตัวผมก็คือความใจร้อนและไม่ยอมฟังใคร นั่นน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ครอบครัวที่ผมพยายามสร้างพังลงเสียทุกครั้งไป
    ผมพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ที่เป็นคนใจร้อนไม่ฟังใคร ผมใช้ความรักในการสร้างครอบครัว แต่ก็ยังล้มเหลวอยู่ดี ผมรู้สึกเศร้าใจมากว่าทำไม ผมทำผิดพลาดอะไรมากมายนักหรือ ถึงทำให้ครอบครัวที่ผมพยายามสร้างต้องล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง แรกๆก็ดูเหมือนจะไปด้วยดีแต่พอนานวันเข้า ก็ค่อยๆแย่ลงๆ ผมรู้สึกผิดมาก..ผิดที่ผมทำให้มันพังลง ผิดที่ทำให้ของขวัญที่แสนวิเศษจากความรัก ต้องอยู่ในสภาวะตครอบครัวแตกแยก
    ลูก...ผมรู้สึกผิดต่อพวกเขามาตลอด พวกเขาคือของขวัญที่เกิดจากความรัก ของขวัญที่สุดแสนวิเศษ แต่ผมกลับทำให้พวกเขาต้องพบกับครอบครัวที่แตกแยก ต้องพบกับความเสียใจและการพลัดพราก ทุกๆวันพ่อและวันแม่ ผมมักร้องไห้อยู่คนเดียวที่นึกถึงว่า ลูกจะรู้สึกยังไงที่เขาขาดพ่อหรือขาดแม่ ในขณะที่เพื่อนๆของเขามีพร้อม เขาจะรู้สึกยังไงเวลาที่ต้องเขียนเรียงความในวันพ่อและวันแม่ เขาจะรู้สึกยังไงในงานวันพ่อและวันแม่ที่โรงเรียน
    ผมได้รับโอกาสในการสร้างครอบครัวหลายครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมได้พบกับคนที่แสนวิเศษ และคนที่เป็นแม่ของลูกของผม กิ๊ก...เธอเป็นคนที่ยอมรับและให้โอกาสผมอีกครั้ง ในการสร้างครอบครัวที่ผมฝันไว้มาตลอด ผมเล่าเรื่องต่างๆให้เธอได้รับรู้ เพราะผมเชื่อว่า ความจริงใจคือจุดเริ่มต้นของความรักที่ดี
    กิ๊กรับรู้และเข้าใจสิ่งที่ผ่านมาในอดีตของผม แม้หลายครั้งอดีตของผมจะไปรบกวนจิตใจเธอบ้าง แต่เราก็พูดคุยและยอมรับในกันและกัน เธอให้โอกาสผม และเธอได้มอบของขวัญที่แสนวิเศษให้ผมด้วย ลูกชาย...ผมกับกิ๊กมีลูกด้วยกัน เขาชื่อ อะตอม
    ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง แต่ผมกับกิ๊กจะพยายามสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับครอบครัวของเรา เราจะมีความรักและความเข้าใจให้กันและกันมากที่สุด ส่วนตัวผมเองมักจะทำให้ทุกๆวันเหมือนวันที่ผมและเธอรักกันในวันแรก ให้ครอบครัวเรายึดโยงไว้ด้วยความรักและความเข้าใจ แม้จะมีทะเลาะหรืองอนกันบาง แตนั่นจะไม่ทำให้เราเลิกรักกัน
    นี่คือครอบครัวที่ผมฝันมาเสมอ ครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน ดูแลกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน และจะอยู่ด้วยกันจนวันสิ้นลมหายใจ ในวันที่เราแก่เฒ่า..เราจะยังจูงมือกันเดินไปพร้อมๆกัน ผมเชื่ออยู่เสมอว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถ้าเราพยายาม


ขอบคุณ กิ๊ก(ภรรยาของผม) ที่ได้ให้โอกาสที่ให้เค้ารักตัวเอง ที่มอบความรักของตัวเองให้เค้า เค้าคงไม่สัญญาว่าจะรักตัวเองมากแค่ไหน....แต่เค้าจะทำให้ตัวเองเห็นเลยว่าเค้ารักตัวเองมากแค่ไหน
 

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

2ล้อของผม



    ผมหลงไหลในเสน่ห์ของสองล้อมาตั้งแต่วัยรุ่น เริ่มตั้งแต่เรียนปวช.มอเตอร์ไซด์คันแรกของผมเป็น ยี่ห้อ ฮอนด้า โนวา(NOVA) เป็นพาหนะคู่ใจที่พาผมไปทั้งเรียนและเที่ยวเตร่ ก็ตามนิยมวัยรุ่นชายที่ชอบเป็นสิงห์นักบิด แต่ผมไม่เน้นเร็วหรือเสียงดังน่ะ เน้นขับดูสาวมากกว่า คือตอนนั้นถ้ามีรถมอเตอร์ไซด์นี่สาวมองตามเลยน่ะ นี่เป็นสิ่งแรกที่อยากได้มอเตอร์ไซด์ แต่แม่ผมจะเป็นห่วงมากในตอนแรกคัดค้านเต็มที่ว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่ซื้อให้เด็ดขาด ด้วยความคะนองของผม วันนึงผมแอบขโมยรถมอเตอร์ไซด์ของพี่ชายไปขับ และด้วยยังขับไม่แข็งและรถมีขนาดใหญ่เกินตัว ทำให้รถมอเตอร์ไซด์คันนั้นล้มและสตาร์ไม่ติดเลย ทำไงล่ะที่นี้...ครับทำไรไม่ได้นอกจากเข็นกลับบ้าน ลองนึกตามว่าคนตัวเล็กๆขาเจ็บ แขนถลอกต้องเข็นรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่กว่าตัวกลับบ้าน ซึ่งเดินเข็นรถจากปากซอยเข้าบ้านระยะทางประมาณ 1.5กม. สุดๆของความเหนื่อยเลยล่ะครับ แถมกลับมาโดนดุที่แอบเอารถออกไปและล้มกลับมา พี่ชายผมก็ดีใจหายไม่ว่าผมสักคำ คงเพราะเห็นน้องเจ็บกลับมาด้วย(ขอบคุณพี่หนึ่งน่ะครับที่ไม่ดุ) และนั่นทำให้แม่เห็นว่าห้ามผมไปก็เท่านั้น และยอมซื้อมอเอตร์ไซด์ให้ผม
    พอผมเริ่มเข้าทำงานก็มีโอกาสได้เปลี่ยนมอเอตร์ไซด์คนใหม่ ตอนนั้นเพื่อนผมที่ชื่อเป๊ะ ขับมอเตอร์ไซด์แนวชอปเปอร์ เท่าที่จำได้น่าจะเป็น NV400 นั่นกระตุ้นให้ผมอยากขับชอปเปอร์ขึ้นมาในทันใด มอเตอร์ไซด์แนวนี้ส่วนใหญ่ในไทยจะเป็นของมือ2มาจากญี่ปุ่น ในที่สุดผมก็ได้ชอปเปอร์มาจนได้ นั่นคือ HONDA รุ่นRebel ตัวพิเศษเป็นคาร์บูเรเตอร์คู่ พอมีมอเตอร์ไซด์แล้วชุดแต่งกายก็ต้องตามมา รถมอเตอร์ไซด์แนวนี้ก็ต้องแต่งให้เข้ากะรถหน่อย ผมเลือกแต่งด้วยเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์และรองเท้าบูตยาวถึงหน้าแข้ง และที่ขาดไม่ได้เลยคือผมยาวเวลาขับรถที่ผมงี้พริวไปตามสายลมเลยครับ ไว้ยาวสุดก็ถึงเข็มขัดน่ะครับ เป็นไอ้หนุ่มผมยาวเลย
    สมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายใส่หมวกกันน๊อค เลยปล่อยผมเต็มที่แต่ก็มีบ้างที่ผูกผมเปียหางม้า และบางที่ต้องอยากสวยบ้างเลยผูกผมแกะสองข้างมันสะเลย ผมว่าตัวผมแนวสุดๆเลยน่ะแต่คงอื่นมองอาจดูแปลกๆสักหน่อย ตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมเดินกับเพื่อนชายอีกคนที่ไว้ผมยาวพอๆกัน มีรถบรรทุกขับผ่านมาจากด้านหลังแล้วตะโกนแซวว่า ไปไหนเหรอจ๊ะน้องสาว พอเห็นหน้าผมและเพื่อนเท่านั้นล่ะ เสียงแซวหายไปทันทีพร้อมเร่งเครื่องรถบรรทุกออกไปอย่างรีบร้อน
    หลังจากนั้นก็เริ่มขับรถยนต์และก็ขับรถยนต์อยู่หลายปี แต่ความรู้สึกบอกว่าผมอยากขับมอเอตร์ไซด์มากกว่า นั่นทำให้ผมมองหายมอเตอร์ไซด์ในสไตล์ที่ผมชอบอีกครั้ง...ยังจำเป๊ะเพื่อนของผมได้ใช่ไหม๊ครับ เพื่อนคนนี้ล่ะที่เป็นเหมือน Idol ในเรื่องมอเอตร์ไซด์ของผม เป๊ะเป็นคนที่หลงไหลสองล้อเช่นกัน ขนาดว่ามีมอเตอร์ไซด์ในครอบครองพร้อมกันที่เดียว4คัน4สไตล์ คนที่ไม่ชอบสองล้ออาจมองว่ามีทำไมเยอะแยอะ แต่นี่ล่ะครับคนรักมอเตอร์ไซด์ตัวจริง ตอนนั้นเป๊ะขับมอเตอร์ไซด์ KSRจากยี่ห้อ Kawasaki เป็นรถแนวโมตาด คือเป็นรถวิบากที่วิ่งทางเรียบน่ะครับ เมื่อผมเห็นเข้าก็บอกตัวเองทันทีว่านี่ล่ะตัวผม
    และแล้วผมก็ได้ครอบครองเจ้าKSRสีแดง(ตัวในรูปบนสุดเลยครับ)มาจนได้ มีเข้ากลุ่มกับคนรักKSRด้วยน่ะครับ เรื่องแต่งรถไม่ต้องพูดถึง เปลี่ยนเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็น แฮนด์ ปลอกมือจับ ไฟเลี้ยว ไฟท้าย ท่อเรียกได้ว่าอะไรเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนหมด ผมรู้สึกถึงความสุดที่กลับคืนมาอีกครั้ง การได้ขับมอเตอร์ไซด์ไปตามท้องถนน มันเป็นความสุขจริงๆแม้ว่าจะต้องใส่หมวกกันน๊อตก็ตาม
 
   เมื่อเริ่มแล้วจึงหยุดไม่ได้ ผมได้ขยับมาขับรถที่ใหญ่ขึ้น(สูงขึ้นด้วย) แต่เป็นแนวโมตาดเหมือนเดิม นั่นคือ Dtracker 150 ยี่ห้อ Kawasaki มันอาจดูไม่ใหญ่โตไรมากนักแต่สูงสำหรับคนตัวเล็กแบบผม มันเป็นความสุขใจจริงๆที่ได้ขับขี่มอเอตร์ไซด์ไปที่ต่างๆ แม้ผมจะมีรถยนต์ด้วยแต่ผมเลือกที่จะขับมอเตอร์ไซด์มากกว่า มันเหมือนผมเสพติดสองล้อจนไม่อาจทอนตัวได้ ต้องขอบคุณเพื่อนเป๊ะที่คอยให้ความรู้และเป็นกูรูในเรื่องมอเตอร์ไซด์ให้ผม ไม่ว่าจะเรื่องรถหรือการแต่งตัวก็ตาม
    ผมไม่ได้เน้นการขับขี่แบบเร็วหรือแข่ง ไม่เน้นในเรื่องท่อเสียงดังน่ารำคาญ แต่ผมชอบที่จะขับขี่มอเตอร์ไซด์ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะไปทำงานหรือเที่ยวเล่น ชอบที่ให้สายลมไหลผ่านตัว ชอบที่จะวิ่งไปอย่างอิสระ การขับขี่มอเตอร์ไซด์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังขี่ม้าวิ่งไปในทุ่งกว้างเลยที่เดียว ขอบคุณที่โลกนี้มีมอเตอร์ไซด์เพราะนี่ล่ะครับ ความสุขอีกส่วนในชีวิตผม

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

คำสารภาพ



    เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้ผมอยากเขียนเรื่องชีวิตในอดีตของผม แต่ผมลังเลอยู่นานที่จะเล่าเรื่องนี้ออกสาธารณะ มันเป็นเรื่องที่ผมได้ทำผิดร้ายแรงและเลวร้ายที่สุดในชีวิตผมที่ทำมา แต่ผมก็อยากเล่าเพื่ออย่างน้อยก็เป็นการไถ่ความผิดบาปที่ผมกระทำ แม้การยอมรับผิดในสิ่งที่ทำนี้จะมีผลเพียงน้อยนิดก็ตาม
    ผมเคยพาอดีตแฟนไปทำ แท้ง เป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่มันยังเป็นตราบาปในใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มจากการที่อดีตแฟนผมท้องซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้แต่งงานกัน ด้วยความที่ไม่อยากให้พ่อแม่ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายผมทราบ เราจึงเลือกที่จะทำแท้ง เลือกที่จะปกปิดสิ่งที่ตัวเองทำโดยการฆ่าหนึ่งชีวิต เมื่อเราสองคนตัดสินใจกันแล้วก็พยายามหาว่าที่ไหนรับทำแท้ง โดยการสอบถามเพื่อนๆและคนรู้จัก และเราก็ทราบว่ามีที่ไหนทำ มันเป็นห้องแถวที่ทำเหมือนคลีนิคที่มีป้ายบอกว่ารับปรึกษาปัญหาครอบครัว ตอนนั้นเราสองคนกล้าๆกลัวๆที่จะเข้าไปแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าไปจนได้
     ผมเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นพยาบาลเดินมาถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆว่า มาทำอะไร ผมจึงตอบไปว่ามาทำแท้ง พยาบาลคนนั้นสอบถามเรื่องอายุครรภ์ซึ่งผมก็ตอบไปว่าเกือบ2เดือน พยาบาลคนนั้นจึงบอกขั้นตอนในการทำและค่าใช้จ่าย พยาบาลคนนั้นบอกว่าจะต้องทำการขูดมดลูกเหมือนทำลายก้อนเนื้อนั้นออก และจะมีการให้เลือดและน้ำเกลือเพราะจะอ่อนเพลียจากการเสียเลือดมากรวมถึงค่าใช้จ่ายในการทำเป็นเงิน 3000บาท ใช้เวลาทำไม่เกิน3ชั่วโมงก็กลับบ้านได้เลย
    เราตกลงที่จะทำแต่ผมไม่สามารถเข้าไปดูการทำได้ อดีตแฟนผมจึงเข้าไปตามลำพังกับพยาบาลคนนั้น ผมนั่งรออยู่ประมาณ3ชั่วโมงได้ พยาบาลคนนั้นก็ประคองอดีตแฟนผมออกมา เธอดูอิดโรยหน้าตาดูซีดมาก แขนขาไม่มีแรง ผมถามเธอว่าเป็นยังไงบ้าง เธอบอกเธอไม่มีแรงจะขยับตัว รู้สึกเจ็บที่ช่องคลอด ก่อนกลับพยาบาลให้ยามาถุงนึงบอกว่าเป็นยาแก้ปวด
    เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็นอนหลับทันทีด้วยความอ่อนเพลีย เธอยังปวดอยู่อีก2-3วันแล้วค่อยๆดีขึ้น ตั้งแต่นั้นเราไม่เคยพูดกันถึงเรื่องนี้อีกเลยจนเราเลิกลากันไป ผมยอมรับว่าตอนนั้นไม่ได้รู้สึกถึงความผิดที่ผมได้ทำสักเท่าไรนัก แต่มันก็ยังอยู่ในใจผม
    หลังจากนั้นชีวิตผมก็ดีๆล้มๆ ส่วนในเรื่องชีวิตคู่นี่พอจะดีขึ้นมาก็มีอันต้องเลิกกันไป ชีวิตที่ดูเหมือนจะไปได้ดีก็ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า อาจเป็นเพราะเวรกรรมที่ผมทำในวันนั้นแต่คงไม่ใช่แค่เวรกรรม มันน่าจะเกิดเพราะการกระทำที่ผิดพลาดของผมเองด้วย แต่ด้วยปัญหาหลายๆครั้งทำให้ผมมองย้อนในสิ่งที่ผมทำแท้ง นี่อาจเป็นกรรมที่ผมต้องชดใช้จริงๆก็เป็นได้
    ที่ผมมาเล่าเพื่ออยากเตือนสติคนที่คิดจะทำเรื่องเลวร้ายนี้ ขอให้เลิกคิดสะ อย่าอ้างถึงความไม่พร้อมหรือหลากหลายข้ออ้างต่างๆ สิ่งที่ควรทำคือการยอมรับความจริง รับในสิ่งที่เกิดในอนาคตอันใกล้ เพราะไม่งั้นอาจเสียใจไปตลอดชีวิตแบบผม
    วันนี้ผมดีใจที่ได้มาเล่าสิ่งที่ผมได้กระทำ ผมไม่อายที่จะยอมรับว่าทำผิดพลาดไป เพราะนั่นคือเรื่องจริง ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมพยายามที่ไถ่บาปในความผิดนี้ แต่ความผิดก็คือความผิดต้องยอมรับในผลที่จะเกิดและผมก็ยอมรับแล้วด้วยใจ
    ผมขอกราบขอขมาในสิ่งที่ผมได้ทำไว้ หากเรื่องเล่านี้สามารถช่วยเตือนสติให้คนที่คิดจะทำเลิกกระทำได้ บุญกุศลที่เกิดขึ้นทั้งหมดผมขออุทิศในแก่เด็กน้อยที่ผมได้ทำร้ายชีวิตเขาไป ขออโหสิกรรม


คำว่าขอโทษใดๆคงใช้อะไรไม่ได้ จึงอยากเตือนสติว่าการทำสิ่งเลวร้ายใดๆ ผมอยากให้ใช้สติใช้ปัญญา คิดและไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน เพราะหากทำไปแล้วเราไม่สามารถจะย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

ผมเลือกที่จะเป็นตัวผม



     ตอนนี้ขอมาเล่าความอึดอัดใจสักนิด ก็ไม่ใช่อะไรมากมายหรอกครับ แค่ผมหน้าตาไม่เหมือนคนดี แค่ตัวคล้ำออกดำ แค่ใส่ต่างหู แค่มีรอยสักสองแขนสองขา แค่ไม่เหมือนชาวบ้านเท่าไร แค่นั้นจริงๆ เรื่องของเรื่องก็ไม่มีไรหรอกครับ อย่างที่บอกไว้นั่นล่ะครับผมออกแนวน่ากลัว จนทำให้หลายๆคนมองผมไปในทางที่ไม่ดีเท่าไร
    เริ่มตั้งแต่วัยรุ่นเลยล่ะครับ เวลาผมไปเดินซื้อของพวกเสื้อผ้าในห้าง พนักงานจะเดินตามติดเลย ไม่ได้เพื่อบริการผมน่ะ แต่คอยดูว่าผมจะขโมยของเขาไหม เคยมีแบบว่าพนักงานเดินมาบอกเลยว่าแพงน่ะ ผมนี่ปรี๊ดดดดดเลย ถ้าผมไม่มีตังคงไม่เดินเข้ามาร้านคุณหรอกครับ นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆที่ผมเจอมาตั้งแต่วัยรุ่น คงเพราะลักษณะเด่นที่คล้ายโจรของผมนั่นเอง
    ผมเคยโดนดูถูกจากบุคคลท่านนึงว่า น้ำหน้าแบบผมก็เป็นได้แค่กุ้ยหรือกรรมกร เรียนก็คงได้แค่อาชีวะเท่านั้น ท่านนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอดีตแม่ยายผมเอง ท่านคงอยากให้ลูกสาวท่านคบกับคนที่ปกติทั่วไปมากกว่าคนแบบผม นั่นเป็นคำที่จุดประกายให้ผมเป็นผมทุกวันนี้เลยที่เดียว ตอนนั้นผมเริ่มทำงานได้สักพักแล้ว จบปวส.มาได้สักปีกว่าๆ ผมเก็บคำดูถูกนั้นไว้ในใจผม ตอนนั้นยอมรับว่าโกรธมาก ผมตั้งใจไว้เลยว่าผมจะเรียนต่อให้จบปริญญาตรี และต้องมีงานที่ดีให้ได้
    นั่นเป็นจุดที่ทำให้ผมเรียนต่อและตั้งใจทำงานมากขึ้น เพื่อลบคำสบประมาทนั้นให้ได้ เพราะนิสัยไม่ยอมแพ้แบบผมทำให้ผมจบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์มาได้ รวมทั้งมีงานทำที่ดีมีเงินเดือนที่ไม่อายใคร เมื่อถึงวันที่ผมจบวันนั้นผมไม่ต้องเอ่ยปากบอกท่านเลย เพราะท่านเห็นสิ่งที่ผมทำอยู่แล้ว ผมไม่ได้โกรธท่านแล้ว แต่กลับขอบคุณที่ว่าผมในวันนั้น ยังครับยังไม่หมด ผมสร้างตัวตนของผมเองขึ้นมาใหม่ เพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นว่า คนรูปชั่วตัวดำไม่จำเป็นต้องเป็นคนเลว
     ในช่วงวัยรุ่นผมแค่ใส่ต่างหูซึ่งเมื่อ20กว่าปีก่อน ผู้ชายใส่ต่างหูจะดูแปลกมากและดูไม่น่าคบหา ผมเริ่มสักด้วยความชอบส่วนตัวและคนสักไม่จำเป็นที่ต้องคนที่เคยติดคุกมาก่อน การสักของผมลุกลามไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้เต็มสองแขน และที่ขาทั้งสองข้าง ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจทำ ด้วยความชอบส่วนตัวและเพื่อพิสูจน์ว่าคนแบบผมเป็นคนดีได้ เป็นคนที่อยู่ในสังคมได้ หรือแม้แต่การแต่งกายก็จะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ทั้งทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน จนแม่ผมเอ่ยบอกเลยว่าผมเป็นคนขวางโลก
     ตลอดเวลาผมได้พยายามพิสูจน์ในคนที่พบเห็นหรือเกี่ยวข้องกับผมไม่ว่าที่ทำงานหรือเพื่อนๆที่ได้รู้จักกัน ได้รับรู้และเห็นว่าคนที่มีลักษณะแตกต่างจากคนทั่วๆไปไม่จำเป็นต้องเป็นคนเลว ผมทำให้คนยอมรับผมในความสามารถจนมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกผมไปได้ ผมอยากบอกให้โลกรู้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้บอกถึงความคิดและจิตใจคนๆนั้นได้
    วันนี้ผมคิดว่าผมได้ทำสำเร็จในระดับนึงแล้ว แม้จะไม่ทำให้คนทุกคนรู้ได้ แต่คนที่ได้รู้จักผมคงจะยอมรับในตัวผมได้แน่นอน ถึงวันนี้ก็ยังมีคนมองผมแบบหวาดๆอยู่ มองผมด้วยสายตาแปลกๆอยู่ แต่นั่นเพราะเขาไม่รู้จักผม แต่ทุกวันนี้ผมเองก็ไม่ขินกับการถูกมองสักเท่าไร แม้จะถูกมองแบบนี้มานานแล้วก็ตาม
    เราเลือกที่จะเป็นได้ และไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถ้าเราพยายาม ทุกวันนี้การยอมรับคนที่มีลักษณะแตกต่างจากคนทั่วไปมากขึ้น ผมเชื่อว่าเพราะมีคนแบบผมอีกหลายล้านคน ที่พยายามพิสูจน์ตัวตนของเขาแบบที่ผมทำอยู่ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นได้